พุทธวจน

สิ่งที่ตรัสรู้แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงนำมาสอน มีมากกว่าที่ทรงนำมาสอน

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน ใบไม้ในกำมือ ตรัสสอนภิกษุในป่า

สารบัญ

หลายคนอาจเคยสงสัยว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรบ้าง? ทำไมจึงมีคำสอนบางเรื่อง แต่บางอย่างพระองค์กลับไม่ตรัสถึงเลย ทั้งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง

พระสูตรที่ชี้แจงเรื่องนี้ได้ชัดเจนที่สุด คือ “ใบไม้ในกำมือ” พระพุทธเจ้าทรงหยิบใบไม้ขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ใบไม้ในกำมือกับใบไม้ทั้งป่า อย่างไหนมากกว่ากัน?

ภิกษุทั้งหลายตอบว่า ใบไม้ทั้งป่าย่อมมากกว่า พระองค์จึงตรัสว่า ธรรมะที่ตรัสรู้แล้วไม่สอนนั้นมากกว่ามาก ส่วนที่นำมาสอนเปรียบเสมือนใบไม้เพียงกำมือเดียว เหตุผลคือ ธรรมะที่พระองค์นำมาสอนเท่านั้น ที่เป็นไปเพื่อ ความดับทุกข์ ของสัตว์ทั้งหลาย


ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากกว่าที่สอน

พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้รู้เพียงบางเรื่อง แต่เป็นผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง ทรงเข้าใจสภาวธรรมทั้งสิ้นอย่างถ่องแท้ แต่การตรัสรู้นั้น ไม่ใช่ว่าทรงนำมาสอนทั้งหมด

พระองค์ทรงเลือกสอนเฉพาะธรรมะที่เป็นไปเพื่อประโยชน์แท้จริงของสัตว์โลก เช่น การพ้นจากความทุกข์ ไม่ใช่ความรู้เพื่อความอยากรู้อยากเห็น เช่น เรื่องโลกวิทยา ดาราศาสตร์ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่ไม่ทำให้พ้นทุกข์

ดังนั้น “ใบไม้ในกำมือ” จึงเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่า พระพุทธเจ้ามุ่งสอนเฉพาะสิ่งจำเป็น เพื่อการดับทุกข์เท่านั้น


ทำไมธรรมะบางส่วนไม่ถูกนำมาสอน

ในพระสูตร พระองค์ตรัสชัดว่า ธรรมะที่ไม่ทรงสอนไว้ เป็นเพราะไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่คลายกำหนัด ไม่ดับทุกข์ ไม่สงบ ไม่ทำให้รู้ยิ่ง ไม่ทำให้รู้พร้อม และไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน

ถ้าเราพิจารณาในเชิงชีวิตประจำวัน จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น ความรู้บางอย่างอาจทำให้คนหลงยึดติดมากขึ้น หรือเพียงเพิ่มทิฏฐิ ความเห็นแก่ตัว แต่ไม่ได้ช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ พระองค์จึงไม่ทรงเสียเวลาในเรื่องนั้น

หลักการสำคัญคือ: พระพุทธเจ้าสอนเฉพาะธรรมะที่ทำให้ ใจเป็นอิสระจากกิเลส และเดินไปสู่ความดับทุกข์


ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนจริงๆ คืออะไร

เมื่อถามว่า แล้วอะไรคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน? พระองค์ตรัสชัดเจนว่า คือ อริยสัจ ๔

  1. ทุกข์ : ความจริงอันประเสริฐที่ว่าชีวิตเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์ ความพลัดพราก ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
  2. สมุทัย : เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ความอยากได้ อยากเป็น อยากไม่เป็น
  3. นิโรธ : ความดับทุกข์ได้จริง เมื่อดับตัณหา ความสงบและนิพพานปรากฏ
  4. มรรค : ทางปฏิบัติสู่นิโรธ ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘: ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ ความเพียรชอบ สติชอบ สมาธิชอบ

นี่คือ แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ที่ทุกคำสอนหมุนวนอยู่รอบๆ


ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนกับการใช้ชีวิตประจำวัน

บางคนอาจคิดว่าเรื่องอริยสัจ ๔ เป็นเรื่องสูงเกินไปสำหรับคนธรรมดา แต่จริงๆ แล้วกลับตรงข้าม เพราะมันอธิบายชีวิตประจำวันของเราทุกคน

  • การรู้จักทุกข์: ช่วยให้เรายอมรับความจริง เช่น ความเหนื่อยจากงาน ความผิดหวังในความสัมพันธ์ ความเจ็บป่วยของร่างกาย สิ่งเหล่านี้คือทุกข์ตามสภาวะ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
  • การเห็นเหตุแห่งทุกข์: เมื่อเรามีความอยากเกินควร เราจะทุกข์ เช่น อยากได้เงินมากแต่ไม่ได้ดังใจ ก็เกิดความเครียด การเข้าใจตรงนี้ช่วยให้เราปล่อยวาง
  • การดับทุกข์: การลดละตัณหาคือการเปิดประตูสู่ความสงบ แม้ชั่วขณะ เช่น เวลาที่เรายอมรับสถานการณ์โดยไม่ดิ้นรน ใจจะสงบขึ้น
  • การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘: เช่น การพูดด้วยเมตตาแทนการโกรธ (วาจาชอบ) การทำงานสุจริต (อาชีพชอบ) การเจริญสติ (สติชอบ) สิ่งเหล่านี้เป็นการนำธรรมะมาใช้จริงในชีวิต

การตีความ “ใบไม้ในกำมือ” สู่การปฏิบัติ

สาระสำคัญของพระสูตรนี้คือ เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แต่เพียงแค่เข้าใจและปฏิบัติตาม อริยสัจ ๔ ก็เพียงพอที่จะนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์

ดังนั้น แทนที่จะเสียเวลาในคำถามที่ไม่ช่วยดับทุกข์ เช่น โลกมีจุดเริ่มต้นอย่างไร วิญญาณไปที่ไหนหลังตาย สิ่งที่ควรทำคือ หันกลับมาเข้าใจทุกข์และเหตุแห่งทุกข์ในปัจจุบัน แล้วลงมือปฏิบัติ


สรุป: ใบไม้ในกำมือคือเส้นทางแห่งความจริง

พระพุทธเจ้าทรงเป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ เพราะทรงเลือกสอนเฉพาะสิ่งจำเป็นต่อการดับทุกข์ของมนุษย์ นั่นคือ อริยสัจ ๔

ใบไม้ที่พระองค์กำไว้ในมือ เปรียบเสมือนธรรมะที่สั้น กระชับ แต่มีคุณค่าสูงสุดในการชี้ทางออกจากสังสารวัฏ สำหรับเรา สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติ ไม่ใช่การสะสมความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์

ดังพระองค์ตรัสไว้ว่า:
“เพราะเหตุนั้นแล เราจึงนำมากล่าวสอน”


🔗 บทความอื่นที่น่าสนใจ

📚 แหล่งอ้างอิง

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน เล่มเล็ก ฉบับที่ ๑ ตามรอยธรรม)

๑๘. สิ่งที่ตรัสรู้แต่ไม่ทรงนำมาสอนมีมากกว่าที่ทรงนำมาสอนมากนัก

-บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๘/๑๗๑๒.
 
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำใบไม้สีสปา ที่ร่วงอยู่ตามพื้นดินขึ้นมาหน่อยหนึ่ง  แล้วตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า :   
ภิกษุทั้งหลาย !  เธอทั้งหลายเข้าใจว่าอย่างไร, ใบไม้สีสปาที่เรากำขึ้นหน่อยหนึ่งนี้มาก  หรือว่าใบไม้สีสปาที่ยังอยู่บนต้นเหล่านั้นมีมาก ?
 
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !  ใบไม้ที่พระผู้มีพระภาคทรงกำขึ้นหน่อยหนึ่งนั้นเป็นของน้อย ส่วนใบไม้ที่ยังอยู่บนต้นสีสปาเหล่านั้นย่อมมีมาก”.
ภิกษุทั้งหลาย !  ฉันใดก็ฉันนั้น ธรรมะส่วนที่เรารู้ยิ่ง  ด้วยปัญญาอันยิ่ง  แล้วไม่กล่าวสอนนั้น  มีมากกว่าส่วนที่นำมาสอน.  ภิกษุทั้งหลาย !  เหตุไรเล่า เราจึงไม่กล่าวสอนธรรมะส่วนนั้นๆ ?
ภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุว่า ธรรมะส่วนนั้นๆ ไม่ประกอบอยู่ด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเงื่อนต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด  ไม่เป็นไปเพื่อความดับ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ไม่เป็นเพื่อความรู้พร้อม ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน,  ฉะนั้น เราจึงไม่กล่าวสอน.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมะอะไรเล่า เป็นธรรมะที่เรากล่าวสอน ?  ภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมะที่เรากล่าวสอน คือข้อที่ว่า ความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ, เหตุเป็นที่เกิดของความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ, ความดับสนิทของความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ, ข้อปฏิบัติเพื่อถึงความดับสนิทของความทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ .
 
ภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุไรเล่า ธรรมะส่วนนี้เราจึงนำมากล่าวสอน ?  ภิกษุทั้งหลาย !  เพราะว่าธรรมะส่วนนี้ ประกอบอยู่ด้วยประโยชน์  เป็นเงื่อนต้นแห่งพรหมจรรย์  เป็นไปเพื่อความหน่าย  เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด  เป็นไปเพื่อความดับ  เป็นไปเพื่อความสงบ  เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม  เป็นไปเพื่อนิพพาน,  เพราะเหตุนั้นแล  เราจึงนำมากล่าวสอน. 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *