พุทธวจน

อริยมรรคมีองค์แปด คืออะไร? เข้าใจง่ายในแบบพุทธวจน

ชายหนุ่มเดินเท้าเปล่าบนทางสายกลางสู่องค์พระพุทธเจ้า

สารบัญ

ทำไมทุกวันนี้จึงยังมีทุกข์?

ในโลกยุคปัจจุบัน แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า การแพทย์จะล้ำสมัย แต่คำถามสำคัญยังคงอยู่: "ทำไมเรายังทุกข์?" ทุกข์จากความสัมพันธ์ เงินทอง ความคาดหวัง หรือแม้แต่การแสวงหาความสุขที่ไม่รู้จบ พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ทางออกไว้อย่างชัดเจน ด้วยคำตอบที่ไม่ขึ้นกับกาลเวลา นั่นคือ อริยมรรคมีองค์แปด ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์อย่างแท้จริง


อริยมรรคมีองค์แปด: ทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง

อริยมรรคมีองค์แปด เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา และเป็นหนึ่งในอริยสัจสี่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ชัดเจนในพระสูตร มหา. ที. ๑๐/๓๔๓/๒๙๙ ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะสิ้นทุกข์ โดยประกอบด้วยองค์ธรรม ๘ ประการดังนี้:

๑. สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)

หมายถึง ความเข้าใจถูกต้องในอริยสัจสี่ ได้แก่:

  • ความรู้ในทุกข์

  • ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์

  • ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

  • ความรู้ในหนทางแห่งความดับไม่เหลือแห่งทุกข์

“เมื่อเข้าใจถูกต้อง จึงเลิกยึดผิด”

อ่านเพิ่ม: ความเข้าใจเรื่องทุกข์ในพุทธวจน

๒. สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)

คือ ความคิดที่ออกจากกาม ความไม่พยาบาท และไม่เบียดเบียน สร้างพลังภายในให้จิตใจสงบ

๓. สัมมาวาจา (วาจาชอบ)

เว้นจาก:

  • การพูดเท็จ

  • การพูดยุแยง

  • การพูดคำหยาบ

  • การพูดเพ้อเจ้อ

๔. สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ)

เว้นจาก:

  • การฆ่าสัตว์

  • การลักทรัพย์

  • การประพฤติผิดในกาม

๕. สัมมาอาชีวะ (อาชีวะชอบ)

เลี้ยงชีวิตโดยไม่เบียดเบียน ไม่ผิดธรรม เช่น ไม่ค้าสัตว์ ไม่หลอกลวง ไม่ขายสิ่งเสพติด

อ่านเพิ่ม: การงานชอบในชีวิตฆราวาส

๖. สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ)

พยายามอย่างต่อเนื่องใน ๔ ประการ:

  • ป้องกันอกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้น

  • ละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว

  • ทำให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น เกิดขึ้น

  • ทำให้กุศลธรรมที่เกิดแล้ว เจริญยิ่งขึ้น

๗. สัมมาสติ (ความระลึกชอบ)

การมีสติรู้กาย เวทนา จิต และธรรม อย่างต่อเนื่อง คือการเจริญสติปัฏฐาน ๔

อ่านเพิ่ม: อานาปานสติในพระสูตร

๘. สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)

สมาธิที่เจริญขึ้นโดยลำดับจากฌานที่ ๑ ถึง ฌานที่ ๔ เป็นสมาธิที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่เพียงการสงบ แต่เป็นพลังให้เกิดวิปัสสนา

อ่านเพิ่ม: สมถะ วิปัสสนา สู่สัมมาสมาธิ


ทำไมอริยมรรคจึงเป็น "หนทางเดียว"

พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า อริยมรรคมีองค์แปดนี้เป็นทางเดียวที่สามารถทำให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นทางสายกลางที่ไม่ตึงไม่หย่อน ไม่ติดสุข ไม่ติดทุกข์ และที่สำคัญ คือ ทุกองค์ธรรมส่งเสริมกัน เป็นกระบวนการเปลี่ยนปุถุชนให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ

"เพราะไม่รู้แจ้งอริยสัจสี่ จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้อย่างยาวนาน"

อ่านเพิ่ม: ภพภูมิและการหลุดพ้น


สรุป

อริยมรรคมีองค์แปดไม่ใช่เพียงแนวคิดหรือหลักธรรมที่ลอยลม แต่เป็นหนทางปฏิบัติจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน และสาวกผู้ปฏิบัติตามได้บรรลุผลจริง เป็นทางเดินที่ไม่ใช่เพียงเพื่อพ้นทุกข์ชั่วคราว แต่เพื่อสิ้นทุกข์อย่างถาวร

หากยังทุกข์อยู่ นั่นแปลว่ายังไม่เดินตามอริยมรรคอย่างแท้จริง


บทความอื่นที่น่าสนใจ:

แหล่งอ้างอิง:

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน เล่มเล็ก ฉบับที่ 9)

[อริยมรรค มีองค์ ๘]

-บาลี มหา. ที. ๑๐/๓๔๓/๒๙๙.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ก็ อริยสัจ คือหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์  เป็นอย่างไรเล่า ? คือ หนทางอันประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้เอง องค์แปดคือ
ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ)
ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ)
วาจาชอบ (สัมมาวาจา)
การงานชอบ (สัมมากัมมันตะ)
อาชีวะชอบ (สัมมาอาชีวะ)
ความเพียรชอบ (สัมมาวายามะ)
ความระลึกชอบ (สัมมาสติ)
ความตั้งใจมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ).
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ความเห็นชอบ เป็นอย่างไร ?  ภิกษุทั้งหลาย !  ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความรู้ในหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใด, นี้เราเรียกว่า ความเห็นชอบ.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ความดำริชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย !  ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในการไม่พยาบาท ความดำริในการไม่เบียดเบียน, นี้เราเรียกว่า ความดำริชอบ.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  วาจาชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย !  การเว้นจากการพูดเท็จ การเว้นจากการพูดยุให้แตกกัน การเว้นจากการพูดหยาบ การเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ,  นี้เราเรียกว่า วาจาชอบ.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  การงานชอบ เป็นอย่างไร ?  ภิกษุทั้งหลาย !  การเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย,  นี้เราเรียกว่า การงานชอบ.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  อาชีวะชอบ เป็นอย่างไร ?  ภิกษุทั้งหลาย !  อริยสาวกในกรณีนี้ ละการหาเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการหาเลี้ยงชีพที่ชอบ,  นี้เราเรียกว่า อาชีวะชอบ.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ความเพียรชอบ เป็นอย่างไร ?  ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต
ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันเป็นบาปทั้งหลายที่ยังไม่ได้บังเกิด; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่บังเกิดขึ้นแล้ว; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้บังเกิด; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความยั่งยืน ความไม่เลอะเลือนความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว,  นี้เราเรียกว่า ความเพียรชอบ.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ความระลึกชอบ เป็นอย่างไร ? ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลสมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้; เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้; เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้; เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้,  นี้เราเรียกว่า ความระลึกชอบ.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ความตั้งใจมั่นชอบ เป็นอย่างไร ?  ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุในกรณีนี้ สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงฌานที่หนึ่ง อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก แล้วแลอยู่ เพราะวิตกวิจารรำงับลง, เธอเข้าถึงฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิ แล้วแลอยู่ เพราะปีติจางหายไป, เธอเป็นผู้เพ่งเฉยอยู่ได้ มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และได้เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าถึงฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า “เป็นผู้เฉยอยู่ได้ มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม” แล้วแลอยู่ เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน เธอย่อมเข้าถึงฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์และไม่สุข มีแต่สติอันบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่,  นี้เราเรียกว่า สัมมาสมาธิ.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  นี้เราเรียกว่า อริยสัจ คือหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *