พุทธวจน

เพราะการเกิดคือทุกข์: ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แต่เรามองข้าม

ภาพจิตรกรรมแสดงวัฏจักรแห่งความเกิดและความทุกข์ตามพุทธวจน

สารบัญ

 

ทุกข์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่ยังไม่เกิด

เราทุกคนต่างมุ่งหวัง “ความสุข” แต่กลับไม่มีใครหลีกพ้น “ความทุกข์” ได้เลย แม้ตั้งแต่วินาทีที่ยังไม่ลืมตาดูโลก ความทุกข์ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยที่เราไม่รู้ตัว...

พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า “เพราะการเกิด จึงมีความทุกข์” แล้วเหตุใด การเกิด ซึ่งโดยสามัญสำนึกของผู้คนถูกมองว่าเป็นสิ่งน่ายินดี จึงกลายเป็นรากฐานของ “กองทุกข์ทั้งสิ้น”?
บทความนี้จะพาไปรู้จัก ต้นเหตุของความทุกข์ ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยตรง เพื่อเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง และหาแนวทางพ้นทุกข์ได้จริง


เงื่อนไขการปฏิสนธิ และจุดเริ่มของความทุกข์

พระพุทธองค์ตรัสในพระสูตรว่า การเกิดขึ้นของสัตว์ในครรภ์ จะเกิดได้ต้องอาศัยเหตุ ๓ ประการประชุมพร้อมกัน คือ:

  1. มารดาและบิดาอยู่ร่วมกัน

  2. มารดาผ่านการมีระดู

  3. คันธัพพะ (คือผู้ที่จะมาปฏิสนธิ) เข้าไปตั้งอยู่ในครรภ์นั้น

ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง การปฏิสนธิย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้

พระองค์ชี้ชัดว่า เพียงการมีเพศสัมพันธ์หรือผ่านการตกไข่ไม่เพียงพอ แต่ “ตัวเรา” ที่จะเข้าไปเกิดนั้น ต้องมี กรรม และ ตัณหา เป็นแรงผลักให้เข้ามาสู่ครรภ์ด้วย – ซึ่งในภาษาพระสูตรเรียกว่า “คันธัพพะ”


ความทุกข์จากการเป็นภาระแก่มารดา

พระองค์ยังแสดงให้เห็นว่า แม้การปฏิสนธิจะเกิดขึ้นแล้ว ความทุกข์ก็ยังดำเนินต่อไป:

  • มารดาต้องแบกภาระด้วยความห่วงใยอย่างใหญ่หลวง ๙ ถึง ๑๐ เดือน

  • เมื่อคลอด ก็ต้องเลี้ยงบุตรด้วย “โลหิต” ซึ่งหมายถึง น้ำนมของมารดา

ความทุกข์นี้เกิดจาก “การมีบุตร” ซึ่งเป็นผลของ “การเกิด” อีกทอดหนึ่ง


เด็กเติบโตด้วยกามคุณและความไม่รู้

เมื่อเด็กเติบโตขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือ ความเพลิดเพลินในกามคุณ ๕ ได้แก่:

  • รูป (ตาเห็น)

  • เสียง (หูฟัง)

  • กลิ่น (จมูกดม)

  • รส (ลิ้นลิ้ม)

  • โผฏฐัพพะ (กายสัมผัส)

ทารกที่เติบโตเป็นเด็ก ย่อมหมกมุ่น เพลิดเพลิน และ เมาหมกอยู่กับเวทนา — ความสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ ที่ได้รับทางตา หู ฯลฯ

เพราะความเพลิดเพลินในเวทนาเหล่านี้ พระองค์ตรัสว่า เป็นเหตุให้เกิด อุปาทาน (การยึดมั่นถือมั่น)


วงจรแห่งทุกข์: จากอุปาทาน สู่ภพ ชาติ ชรา มรณะ

พระพุทธเจ้าตรัสลำดับเหตุแห่งทุกข์ไว้อย่างชัดเจน:

  • เพราะ “อุปาทาน” เป็นปัจจัย → จึงเกิดมี “ภพ

  • เพราะ “ภพ” เป็นปัจจัย → จึงมี “ชาติ

  • เพราะ “ชาติ” → จึงมี “ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

กล่าวคือ “การเกิด” ไม่ใช่เพียงการมามีชีวิตใหม่ แต่คือการสืบต่อของกองทุกข์ทั้งหมด
การมีชีวิต (ชาติ) คือการเปิดประตูรับความแก่ ความตาย ความพลัดพราก ความเสียใจ — อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ชีวิตที่เพลินในเวทนา ย่อมนำไปสู่การเวียนว่ายไม่รู้จบ

เราทั้งหลาย ที่ไม่มีปัญญารู้แจ้งตามที่เป็นจริง ย่อมเสพเวทนา แล้วหลงยึดเวทนา
ความยึดนั้นกลายเป็นเชื้อไฟให้เกิด ภพใหม่ — เมื่อภพใหม่เกิดขึ้น ก็ต้องเกิดอีก

แล้วการเกิด ก็กลายเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นใหม่ ซ้ำไปเรื่อยๆ


ความทุกข์ทั้งสิ้นเกิดจาก “ชาติ”

พระองค์ตรัสในพระสูตรว่า:

“เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จึงเกิดมีพร้อม”
“ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล”

เพียงประโยคนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจว่า
ความทุกข์ไม่ได้เริ่มที่การแก่หรือเจ็บ แต่เริ่มตั้งแต่ “เกิด”


สรุป: ทางออกจากทุกข์ เริ่มที่การไม่เกิด

เมื่อรู้ว่า “การเกิด” คือต้นทางของความทุกข์ พระพุทธองค์จึงตรัสทางออกไว้อย่างชัดเจนในพระสูตรอื่นๆ ว่า

“ความดับแห่งชาติ ย่อมมีได้ เพราะความดับแห่งภพ
ความดับแห่งภพ มีได้ เพราะความดับแห่งอุปาทาน...” (ดูอริยสัจข้อที่ ๒ และ ๓)

หนทางหลุดพ้นจากการเกิด จึงไม่ใช่การหาวิธีเกิดอย่างมีคุณภาพ —
แต่คือการทำลาย “เหตุแห่งการเกิด” นั่นคือ อุปาทาน ตัณหา อวิชชา ให้สิ้นไป

ด้วยการ ฟังธรรมจากพระโอษฐ์, พิจารณาตามธรรม, และ เจริญมรรคมีองค์ ๘ อย่างถูกตรง — เราจึงจะหลุดพ้นจากชาติและความทุกข์ได้


📚 บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง:


🔗 แหล่งอ้างอิง:

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน เล่มเล็ก ฉบับที่ 9)

[เพราะการเกิด เป็นเหตุให้พบกับ ความทุกข์]

-บาลี มู. ม. ๑๒/๔๘๗/๔๕๒.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ ย่อมมีได้ เพราะการประชุมพร้อมของสิ่ง ๓ อย่าง. 
ในสัตว์โลกนี้ แม้มารดาและบิดาเป็นผู้อยู่ร่วมกัน แต่มารดายังไม่ผ่านการมีระดู และคันธัพพะ (สัตว์ที่จะเข้าไปปฏิสนธิในครรภ์นั้น) ก็ยังไม่เข้าไปตั้งอยู่โดยเฉพาะด้วย, การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ ก็ยังมีขึ้นไม่ได้ก่อน. 
 
ในสัตว์โลกนี้ แม้มารดาและบิดาเป็นผู้อยู่ร่วมกัน และมารดาก็ผ่านการมีระดู แต่คันธัพพะยังไม่เข้าไปตั้งอยู่โดยเฉพาะ, การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ก็ยังมีขึ้นไม่ได้นั่นเอง.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  แต่เมื่อใด มารดาและบิดาเป็นผู้อยู่ร่วมกันด้วย มารดาก็ผ่านการมีระดูด้วย คันธัพพะก็เข้าไปตั้งอยู่โดยเฉพาะด้วย, การปฏิสนธิของสัตว์ในครรภ์ ย่อมสำเร็จได้ เพราะการประชุมพร้อมกันของสิ่ง ๓ อย่าง ด้วยอาการอย่างนี้.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  มารดา ย่อมบริหารสัตว์ที่เกิดในครรภ์นั้น ด้วยความเป็นห่วงอย่างใหญ่หลวง เป็นภาระหนัก ตลอดเวลาเก้าเดือนบ้าง สิบเดือนบ้าง. ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อล่วงไปเก้าเดือนหรือสิบเดือน, มารดา ย่อมคลอดบุตรนั้นด้วยความเป็นห่วงอย่างใหญ่หลวง เป็นภาระหนัก; ได้เลี้ยงซึ่งบุตรอันเกิดแล้วนั้น ด้วยโลหิตของตนเอง. 
ภิกษุทั้งหลาย !  ในวินัยของพระอริยเจ้า คำว่า “โลหิต” นี้ หมายถึงน้ำนมของมารดา.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ทารกนั้น เจริญวัยขึ้น มีอินทรีย์อันเจริญเต็มที่แล้ว เล่นของเล่นสำหรับเด็ก เช่น เล่นไถน้อยๆ เล่นหม้อข้าวหม้อแกง เล่นของเล่นชื่อโมกขจิกะ เล่นกังหันลมน้อยๆ เล่นตวงของด้วยเครื่องตวงที่ทำด้วยใบไม้ เล่นรถน้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ.
ภิกษุทั้งหลาย !  ทารกนั้น ครั้นเจริญวัยขึ้นแล้ว มีอินทรีย์อันเจริญเต็มที่แล้ว เป็นผู้เอิบอิ่มเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบำเรออยู่ : ทางตาด้วยรูป, ทางหูด้วยเสียง, ทางจมูกด้วยกลิ่น, ทางลิ้นด้วยรส, และทางกายด้วยโผฏฐัพพะ, ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ เป็นที่ยวนตา ยวนใจให้รัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ และเป็นที่ตั้งแห่งความรัก. 
 
ทารกนั้น ครั้นเห็นรูปด้วยจักษุ เป็นต้นแล้ว ย่อมกำหนัดยินดีในรูป เป็นต้น ที่ยั่วยวนให้เกิดความรัก,ย่อมขัดใจในรูป เป็นต้น ที่ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก; ไม่เป็นผู้ตั้งไว้ซึ่งสติ อันเป็นไปในกาย มีใจเป็นอกุศล ไม่รู้ตามที่เป็นจริง ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันเป็นที่ดับไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลาย.
 
กุมารน้อยนั้น เมื่อประกอบด้วยความยินดีและความยินร้ายอยู่เช่นนี้แล้ว, เสวยเฉพาะซึ่งเวทนาใดๆ เป็นสุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม, เขาย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ ซึ่งเวทนานั้นๆ.เมื่อเป็นอยู่เช่นนั้น,
ความเพลิน (นันทิ) ย่อมบังเกิดขึ้น.  ความเพลินใด ในเวทนาทั้งหลายมีอยู่, ความเพลินอันนั้นเป็นอุปาทาน. 
 
เพราะอุปาทานของเขานั้นเป็นปัจจัย จึงเกิดมีภพ; 
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดมีชาติ; 
เพราะชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปายาส
จึงเกิดมีพร้อม. ความก่อขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *