พุทธวจน

พระพุทธองค์ตรัสไว้: ไม่มีใครเป็นที่พึ่งได้เท่า “ตน” และ “ธรรม”

พระพุทธเจ้าทรงประทับเป็นประทีปกลางธรรมชาติ ขณะภิกษุกำลังฟังธรรม ณ ยามอัสดง

สารบัญ

เมื่อไม่มีใครให้พึ่ง...เราจะอยู่ได้อย่างไร?

ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การสูญเสีย การพลัดพรากจากสิ่งรักของหวง... หลายคนจมอยู่กับความเศร้า ความหวังว่าวันหนึ่งจะพึ่งใครสักคนหรือสิ่งใดสักอย่างให้พ้นทุกข์

แต่ในพระสูตรแห่ง มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๑๖/๗๓๖ พระพุทธองค์ได้ตรัสคำเตือนที่เปี่ยมด้วยความจริงอย่างลึกซึ้งว่า:

“สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย ข้อนั้นย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้”

เพราะทุกสิ่งที่เรารัก ก็มีวันต้องเสื่อมสลาย จึงไม่มีสิ่งใดเลยที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้ได้ — นอกจาก *“ตน” และ “ธรรม” ที่เป็นหลักอันมั่นคง


พระพุทธวจน: มีตนเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ

พระพุทธองค์ตรัสแก่พระอานนท์อย่างชัดเจนว่า:

“จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ
จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ”

โดยคำว่า "ตน" มิได้หมายถึงอัตตา หรืออัตตลักษณ์แบบสามัญ หากหมายถึง "สติ สัมปชัญญะ และการมีเพียรเพื่อเผากิเลส" — คือ “ฐาน” ที่เราควบคุมได้จริงและพัฒนาได้ด้วยตนเอง

ลักษณะของผู้ที่ “มีตนเป็นประทีป” ตามพุทธวจน

พระสูตรได้อธิบายชัดเจนว่า ผู้ที่มีตนและธรรมเป็นสรณะจะเป็นผู้ที่:

  • พิจารณาเห็นกายในกาย เนืองๆ อยู่
  • พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งหลาย
  • พิจารณาเห็นจิตในจิต อย่างต่อเนื่อง
  • พิจารณาเห็นธรรมในธรรม อย่างไม่ขาดสาย
  • มีความเพียรเผากิเลส
  • มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
  • มีสติที่มั่นคง
  • กำจัดอภิชฌา (ความอยาก) และโทมนัส (ความเศร้า) ในโลกเสียได้

ทั้งหมดนี้ คือ "การมีตนเป็นที่พึ่ง" ในระดับปฏิบัติจริง ไม่ใช่เพียงแนวคิดเชิงปรัชญา


ธรรมะที่เป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เพียงคำสอน

“ธรรม” ในที่นี้ ไม่ใช่เพียงตำรา ไม่ใช่เพียงการสวดหรือฟัง แต่คือ:

ธรรมะที่ปรากฏในกาย เวทนา จิต ธรรมของตนเอง — ที่เฝ้าสังเกต เห็นความเกิดขึ้นและดับไปอย่างแจ่มแจ้ง

ดังนั้น การมีธรรมเป็นสรณะ จึงหมายถึง การตั้งมั่นอยู่บนหนทางแห่ง สติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นหัวใจของ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้เพื่อพ้นทุกข์

ดูเพิ่มเติม:
🔗 อ่านบทความอื่นเกี่ยวกับสติปัฏฐาน
🔗 อ่านบทความเกี่ยวกับจิตในจิต
🔗 บทความสอนการพิจารณาเวทนา


สรุป: ทำไม “มีตนเป็นประทีป” จึงเป็นคำสอนที่ต้องกลับมาทบทวน

เมื่อเรามีตนเป็นสรณะ เราจะไม่หลงใหลไปตามอารมณ์และความเปลี่ยนแปลงของโลก
เมื่อเรามีธรรมเป็นสรณะ เราจะมีแนวทางที่มั่นคงที่จะฝึก ฝืน และพ้น

ในโลกที่ไร้ที่พึ่งที่แท้จริง...
การเจริญสติปัฏฐานอย่างมั่นคง คือแสงสว่างที่พาเราออกจากความมืดของวัฏฏะ


บทความอื่นที่น่าสนใจ

แหล่งอ้างอิง

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน เล่มเล็ก ฉบับที่ 9)

[ผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง]

-บาลี มหาวาร. สํ. ๑๙/๒๑๖/๗๓๖.
 
อานนท์ !  เราได้กล่าวเตือนไว้ก่อนแล้วมิใช่หรือว่า “ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ย่อมมี”.
อานนท์ !  ข้อนั้น จักได้มาแต่ไหนเล่า ? สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยปรุงแล้ว มีความชำรุดไปเป็นธรรมดา, สิ่งนั้นอย่าชำรุดไปเลย ดังนี้, ข้อนั้น ย่อมเป็นฐานะที่มีไม่ได้.
อานนท์ !  เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; จงมีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ.
อานนท์ !  ภิกษุ มีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ, มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะนั้น เป็นอย่างไรเล่า ?
อานนท์ !  ภิกษุในธรรมวินัยนี้ 
พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู่ 
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเนืองๆ อยู่ 
พิจารณาเห็นจิตในจิตเนืองๆ อยู่
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนืองๆ อยู่
มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้. 
อานนท์ !  ภิกษุ อย่างนี้แล ชื่อว่ามีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นอยู่.
 
อานนท์ !  ในกาลบัดนี้ก็ดี ในกาลล่วงไปแห่งเราก็ดี ใครก็ตาม จักต้องมีตนเป็นประทีป มีตนเป็นสรณะไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ; มีธรรมเป็นประทีป มีธรรมเป็นสรณะ ไม่เอาสิ่งอื่นเป็นสรณะ. 
อานนท์ !  ภิกษุพวกใด เป็นผู้ใคร่ในสิกขา, ภิกษุพวกนั้น จักเป็นผู้อยู่ในสถานะอันเลิศที่สุด แล.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *