จิตมั่นคงดั่งอากาศ – การดำรงสมาธิจิตเมื่อถูกเบียดเบียนทางวาจา
สารบัญ
Toggle
ในชีวิตประจำวันของปุถุชน เราอาจต้องเผชิญกับถ้อยคำเสียดแทง การกล่าวร้าย หรือการถูกเข้าใจผิดอยู่เนืองๆ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นต้นเหตุแห่งความเครียด ความโกรธ และการตอบโต้ที่ทำให้ “ใจไม่เป็นสุข” บทความนี้ชวนย้อนมองพระโอวาทของพระพุทธเจ้าในพระสูตรเรื่อง “การดำรงสมาธิจิตเมื่อถูกเบียดเบียนทางวาจา” ซึ่งให้แนวทางที่เปลี่ยนสถานการณ์ที่ดูเลวร้าย ให้กลายเป็นโอกาสแห่งการเจริญเมตตาและฝึกจิตให้อยู่ในภาวะมั่นคงดั่งอากาศ
การกล่าวร้าย 5 แบบ: ธรรมชาติของโลก
พระพุทธเจ้าทรงแจกแจงว่ามีคำกล่าวร้าย 5 ประเภทที่คนทั่วไปอาจต้องเจอ ได้แก่:
กล่าวในเวลาที่เหมาะสม หรือไม่เหมาะสม
กล่าวด้วยความจริง หรือไม่จริง
กล่าวอย่างสุภาพ หรือหยาบคาย
กล่าวด้วยเจตนาที่มีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์
กล่าวด้วยจิตเมตตา หรือเจตนาโทสะ
ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่าเราจะดีแค่ไหน หรือประพฤติอย่างไร ก็มีโอกาสถูกวิพากษ์วิจารณ์ในรูปแบบต่างๆ อยู่เสมอ
วิธีดำรงจิตไม่ให้แปรปรวนเมื่อถูกกล่าวหา
พระองค์ทรงสอนให้สำเหนียกในใจไว้ว่า:
“จิตของเราจักไม่แปรปรวน, เราจักไม่กล่าววาจาอันเป็นบาป
เราจักเป็นผู้มีจิตเอ็นดูเกื้อกูล มีจิตประกอบด้วยเมตตา ไม่มีโทสะในภายในอยู่...”
พระสูตรนี้เปรียบจิตที่ฝึกดีแล้ว เหมือน “อากาศ” ที่ไม่สามารถให้ใครเขียนเป็นรูปปรากฏได้ คำพูดร้ายจึงไม่สามารถแตะต้องหรือบิดเบือนจิตของผู้ปฏิบัติได้เลย
เปรียบเทียบที่ลึกซึ้ง: จิตเหมือนอากาศ แม่น้ำ และแผ่นดิน
พระองค์ทรงยกอุปมาไว้ว่า:
เหมือนวาดภาพในอากาศ → ไม่มีวันปรากฏเป็นรูปร่างใด ๆ ได้
เหมือนขุดแผ่นดินหวังให้ไม่เป็นแผ่นดินอีก → ไม่มีทางสำเร็จ
เหมือนเผาแม่น้ำด้วยคบเพลิง → ไม่มีทางให้เดือดพล่านได้
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความพยายามของผู้ที่กล่าวร้ายก็ไร้ผล ตราบใดที่ “ผู้ฟัง” ไม่เอาจิตไปเกี่ยวข้อง
การฝึกจิตให้มั่นคง: โอวาทเปรียบด้วยเลื่อย
พระองค์ตรัสว่า แม้โจรจะ “เลื่อยแขนขาเราด้วยเลื่อยสองด้าน” เราก็ไม่ควรมีใจประทุษร้ายต่อเขา หากเรายังโกรธได้ แปลว่า เรายังไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
โอวาทนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องยอมทุกอย่างในทางโลก แต่หมายถึงการ ควบคุมจิต ไม่ให้หลงไหลไปกับโทสะ ให้ตั้งอยู่ในเมตตาเสมอ แม้ในสถานการณ์ที่สุดขีด
ฝึก “จิตเหมือนอากาศ” มีผลอย่างไร?
ไม่มีเวร: ใจไม่ผูกอาฆาต
ไม่มีพยาบาท: ไม่คิดแก้แค้น
ไม่มีโทสะ: ไม่มีความร้อนรุ่มในใจ
มีเมตตาไพบูลย์: แผ่จิตออกไปโดยไม่มีประมาณ
จิตที่เป็นอิสระจากเวรและพยาบาท ย่อมเข้าถึงสันติสุขในระดับที่ลึกซึ้ง และนี่คือรากฐานสำคัญของมรรคมีองค์แปด
บทสรุป
พระสูตรนี้ไม่เพียงสอนให้เรา “ไม่โกรธ” แต่สอนให้เรา “เจริญเมตตา” ด้วยจิตมั่นคงเมื่อเผชิญถ้อยคำร้ายแรง บนเส้นทางแห่งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ เราอาจควบคุมโลกไม่ได้ แต่เราควบคุม “จิตของเรา” ได้ — จิตที่เหมือนอากาศ ไม่แปรปรวนแม้ถูกเบียดเบียน
🔗 บทความอื่นที่น่าสนใจ:
📚 แหล่งอ้างอิง:
พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน)
[การดำรงสมาธิจิตเมื่อถูกเบียดเบียนทางวาจา]
-บาลี มู. ม. ๑๒/๒๕๔, ๒๕๖/๒๖๗, ๒๖๙.-บาลี มู. ม. ๑๒/๒๕๘/๒๗๒.ภิกษุทั้งหลาย ! ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวหาเธอ ๕ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ คือ :-๑. กล่าวโดยกาลหรือโดยมิใช่กาล๒. กล่าวโดยเรื่องจริงหรือโดยเรื่องไม่จริง๓. กล่าวโดยอ่อนหวานหรือโดยหยาบคาย๔. กล่าวด้วยเรื่องมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์๕. กล่าวด้วยมีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเขากล่าวอยู่อย่างนั้น ในกรณีนั้นๆ เธอพึงทำการสำเหนียกอย่างนี้ว่า “จิตของเราจักไม่แปรปรวน, เราจักไม่กล่าววาจาอันเป็นบาป เราจักเป็นผู้มีจิตเอ็นดูเกื้อกูล มีจิตประกอบด้วยเมตตา ไม่มีโทสะในภายในอยู่, จักมีจิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปยังบุคคลนั้นอยู่ และจักมีจิตสหรคตด้วยเมตตาอันเป็นจิตไพบูลย์ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทแผ่ไปสู่โลกถึงที่สุดทุกทิศทาง มีบุคคลนั้นเป็นอารมณ์ แล้วแลอยู่” ดังนี้.ภิกษุทั้งหลาย ! เธอพึงทำการสำเนียกอย่างนี้.ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนบุรุษถือเอาสีมา เป็นสีครั่งบ้าง สีเหลืองบ้าง สีเขียวบ้าง สีแสดบ้าง กล่าวอยู่ว่า “เราจักเขียนรูปต่างๆ ในอากาศนี้ ทำให้มีรูปปรากฏอยู่” ดังนี้.ภิกษุทั้งหลาย ! เธอจะสำคัญความข้อนี้ว่าอย่างไร บุรุษนั้นจะเขียนรูปต่างๆ ในอากาศนี้ ทำให้มีรูปปรากฏอยู่ได้แลหรือ ?“ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !”.เพราะเหตุไรเล่า ?“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! เพราะเหตุว่าอากาศนี้ เป็นสิ่งที่มีรูปไม่ได้ แสดงออกซึ่งรูปไม่ได้ ในอากาศนั้น ไม่เป็นการง่ายที่ใครๆ จะเขียนรูป ทำให้มีรูปปรากฏอยู่ได้ รังแต่บุรุษนั้นจะเป็นผู้มีส่วนแห่งความลำบากคับแค้นเสียเปล่า พระเจ้าข้า !”.ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ในบรรดาทางแห่งถ้อยคำสำหรับการกล่าวหา ๕ ประการนั้น เมื่อเขากล่าวหาเธอ ด้วยทางแห่งถ้อยคำประการใดประการหนึ่งอยู่ เธอพึงทำการสำเหนียกในกรณีนั้น อย่างนี้ว่า “จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่กล่าววาจาอันเป็นบาป เราจักเป็นผู้มีจิตเอ็นดูเกื้อกูล มีจิตประกอบด้วยเมตตา ไม่มีโทสะในภายในอยู่, จักมีจิตสหรคตด้วยเมตตา แผ่ไปยังบุคคลนั้นอยู่ และจักมีจิตสหรคตด้วยเมตตา อันเป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกถึงที่สุดทุกทิศทาง มีบุคคลนั้นเป็นอารมณ์ แล้วแลอยู่” ดังนี้.(คือมีจิตเหมือนอากาศ อันใครๆ จะเขียนให้เป็นรูปปรากฏไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น).ภิกษุทั้งหลาย ! เธอพึงทำการสำเหนียก อย่างนี้แล...(นอกจากนี้ยังทรงอุปมาเปรียบกับบุรุษถือเอาจอบและกระทอมาขุดแผ่นดิน หวังจะไม่ให้เป็นแผ่นดินอีก, เปรียบกับบุรุษถือเอาคบเพลิงหญ้ามาเผาแม่น้ำคงคา หวังจะให้เดือดพล่าน ซึ่งเป็นฐานะที่ไม่อาจเป็นได้).ภิกษุทั้งหลาย ! ถ้า โจรผู้คอยหาช่อง พึงเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ของใครด้วยเลื่อยมีด้ามสองข้าง; ผู้ใดมีใจประทุษร้ายในโจรนั้น ผู้นั้นชื่อว่าไม่ทำตามคำสอนของเรา เพราะเหตุที่มีใจประทุษร้ายต่อโจรนั้น. ภิกษุทั้งหลาย ! ในกรณีนั้น เธอพึงทำการสำเหนียกอย่างนี้ว่า “จิตของเราจักไม่แปรปรวน, เราจักไม่กล่าววาจาอันเป็นบาป, เราจักเป็นผู้มีจิตเอ็นดูเกื้อกูล มีจิตประกอบด้วยเมตตาไม่มีโทสะในภายใน อยู่, จักมีจิตสหรคตด้วยเมตตาแผ่ไปยังบุคคลนั้น อยู่ และจักมีจิตสหรคตด้วยเมตตา อันเป็นจิตไพบูลย์ ใหญ่หลวง ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกถึงที่สุดทุกทิศทาง มีบุคคลนั้นเป็นอารมณ์ แล้วแลอยู่” ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอพึงทำการสำเหนียก อย่างนี้แล.ภิกษุทั้งหลาย ! เธอพึงกระทำในใจถึงโอวาท อันเปรียบด้วยเลื่อยนี้ อยู่เนืองๆ เถิด. ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อเธอทำในใจถึงโอวาทนั้นอยู่ เธอจะได้เห็นทางแห่งการกล่าวหาเล็กหรือใหญ่ที่เธออดกลั้นไม่ได้อยู่อีกหรือ ?“ข้อนั้นหามิได้ พระเจ้าข้า !”.ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงกระทำในใจถึงโอวาทอันเปรียบด้วยเลื่อยนี้ อยู่เป็นประจำเถิด : นั่นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่เธอทั้งหลาย ตลอดกาลนาน.