ให้ตั้งจิตในกายคตาสติ เสมือนเต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง
สารบัญ
Toggleในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนทั้งจากเทคโนโลยี สื่อบันเทิง และการสื่อสารที่รวดเร็ว มนุษย์เรามักเผลอใจเปิดรับสิ่งเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว จนเกิดความคิด ความรู้สึก และการกระทำที่ไม่เป็นกุศล พระสูตรหนึ่งในพุทธวจนได้ยกอุปมาเรื่อง “เต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง” เพื่อสอนเรื่องการสำรวมอินทรีย์ ซึ่งเป็นวิธีป้องกันใจจากมารและกิเลสได้อย่างลึกซึ้ง
ความหมายของ “เต่าหดอวัยวะ”
พระพุทธองค์ทรงเปรียบเปรยภิกษุกับเต่า — เมื่อเต่าเห็นสุนัขจิ้งจอก มันจะหดหัวและขาทั้งหมดเข้าไปในกระดอง ทำให้ศัตรูไม่มีช่องทำร้ายฉันใด ภิกษุหรือผู้ปฏิบัติธรรมก็ควรรักษา “ทวารอินทรีย์ทั้งหก” (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ฉันนั้น
หากเราปล่อยใจให้รับ “รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์” โดยไม่สำรวม สิ่งเหล่านี้จะเป็นช่องให้กิเลสอย่าง อภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้) และ โทมนัส (ความขุ่นเคือง) แทรกซึมเข้ามาได้
การคุ้มครองอินทรีย์คืออะไร?
“การคุ้มครองอินทรีย์” หมายถึง การระลึกรู้และวางใจอย่างถูกต้องเมื่อรับอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
- ไม่ยึดติดทั้งหมด: เห็น ได้ยิน หรือรับรู้สิ่งใด ก็ไม่รวบถือทั้งหมดว่าเป็นของเรา
- ไม่แยกถือเป็นส่วนๆ: ไม่ยึดว่าบางส่วนดี บางส่วนไม่ดี จนเกิดการเปรียบเทียบในใจ
นี่เป็นการตัดช่องไม่ให้ความยินดีหรือยินร้ายเกิดขึ้น และยังเป็นเกราะป้องกันจิตจากการถูกครอบงำโดยมาร
การปฏิบัติให้สำเร็จเหมือนเต่า
- รู้เท่าทันอารมณ์ที่เข้ามา – ทุกครั้งที่ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ฯลฯ ให้รู้ว่าเป็นเพียงการรับรู้ ไม่ใช่ตัวตนของเรา
- ไม่วิ่งตามความพอใจ-ไม่พอใจ – อารมณ์ที่ชอบก็ไม่หลงเพลิน อารมณ์ที่ไม่ชอบก็ไม่ผลักไส
- ตั้งสติเป็นกระดอง – ใช้สติเป็นเหมือนกระดองเต่า ครอบคลุมจิตไว้ไม่ให้โผล่ไปรับสิ่งยั่วยุเกินจำเป็น
- อยู่ในความสงบ – ลดความฟุ้งซ่าน รักษาใจให้เป็นกลาง
ประโยชน์ของการคุ้มครองอินทรีย์
- ป้องกันมารและกิเลส: ไม่มีช่องให้ความโลภ โกรธ หลง เข้ามาครอบงำ
- ใจเป็นอิสระ: ไม่ถูกครอบงำด้วยสิ่งภายนอก
- เพิ่มพลังสมาธิและปัญญา: จิตตั้งมั่น เห็นความจริงของสรรพสิ่งได้ชัดเจน
สรุป
เรื่อง “เต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง” ไม่ใช่เพียงนิทานสอนใจ แต่เป็นหลักปฏิบัติที่ลึกซึ้งในพระพุทธศาสนา ช่วยให้เราปิดประตูสู่ความทุกข์ ด้วยการสำรวมอินทรีย์ทั้งหก เหมือนเต่าที่ปิดช่องไม่ให้ศัตรูทำร้าย ใครปฏิบัติได้ ย่อมพ้นจากการถูกรบกวนจากมารและกิเลส มีจิตสงบเย็น และก้าวหน้าในธรรม
บทความอื่นที่น่าสนใจ
แหล่งอ้างอิง
พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน)
[ให้ตั้งจิตในกายคตาสติเสมือนเต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง]
-บาลี สฬา. สํ. ๑๘/๒๒๒/๓๒๐.ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องเคยมีมาแต่ก่อน : เต่าตัวหนึ่งเที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็น, สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง ก็เที่ยวหากินตามริมลำธารในตอนเย็นเช่นเดียวกัน เต่าตัวนี้ได้เห็นสุนัขจิ้งจอกซึ่งเที่ยวหากิน (เดินเข้ามา) แต่ไกล, ครั้นแล้วจึงหดอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ ๕ เข้าในกระดองของตนเสีย เป็นผู้ขวนขวายน้อยนิ่งอยู่ แม้สุนัขจิ้งจอกก็ได้เห็นเต่าตัวที่เที่ยวหากินนั้นแต่ไกลเหมือนกัน, ครั้นแล้ว จึงเดินตรงเข้าไปที่เต่า คอยช่องอยู่ว่า “เมื่อไรหนอเต่าจักโผล่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งออกในบรรดาอวัยวะทั้งหลาย มีศีรษะเป็นที่ ๕ แล้ว จักกัดอวัยวะส่วนนั้น คร่าเอาออกมากินเสีย” ดังนี้.ภิกษุทั้งหลาย ! ตลอดเวลาที่เต่าไม่โผล่อวัยวะออกมา สุนัขจิ้งจอกก็ไม่ได้โอกาสต้องหลีกไปเอง;ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น : มารผู้ใจบาป ก็คอยช่องต่อพวกเธอทั้งหลายติดต่อไม่ขาดระยะอยู่เหมือนกันว่า “ถ้าอย่างไร เราคงได้ช่อง ไม่ทางตา ก็ทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ”, ดังนี้.ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย จงเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่เถิด;ได้เห็นรูปด้วยตา, ได้ฟังเสียงด้วยหู, ได้ดมกลิ่นด้วยจมูก, ได้ลิ้มรสด้วยลิ้น, ได้สัมผัสโผฏฐัพพะด้วยกาย, หรือได้รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว จงอย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่เป็นการรวบถือทั้งหมด, อย่าได้ถือเอาโดยลักษณะที่เป็นการแยกถือเป็นส่วนๆ เลย, สิ่งที่เป็นบาปอกุศล คือ อภิชฌา และโทมนัส จะพึงไหลไปตามบุคคลผู้ไม่สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะการไม่สำรวมอินทรีย์เหล่าใด เป็นเหตุ. พวกเธอทั้งหลาย จงปฏิบัติเพื่อการปิดกั้นอินทรีย์นั้นไว้, พวกเธอทั้งหลาย จงรักษาและถึงความสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เถิด.ภิกษุทั้งหลาย ! ในกาลใด พวกเธอทั้งหลาย จักเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายอยู่; ในกาลนั้น มารผู้ใจบาป จักไม่ได้ช่องแม้จากพวกเธอทั้งหลาย และจักต้องหลีกไปเอง, เหมือนสุนัขจิ้งจอกไม่ได้ช่องจากเต่าก็หลีกไปเอง ฉะนั้น.“เต่าหดอวัยวะไว้ในกระดอง ฉันใด, ภิกษุพึงตั้งมโนวิตก (ความตริตรึกทางใจ) ไว้ในกระดอง ฉันนั้น เป็นผู้ที่ตัณหาและทิฏฐิไม่อิงอาศัยได้,ไม่เบียดเบียนผู้อื่น, ไม่กล่าวร้ายต่อใครทั้งหมด, เป็นผู้ดับสนิท แล้ว” ดังนี้แล.