พุทธวจน

อานุภาพของสมาธิ : ทางสู่การรู้แจ้งความเกิดดับแห่งขันธ์ห้า

พระพุทธเจ้าประทับนั่งใต้ต้นไม้ แผ่รัศมีล้อมด้วยภาพใบหน้าสื่อถึงขันธ์ห้า แสดงอานุภาพของสมาธิ

สารบัญ

ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งดึงดูดใจและสิ่งกระตุ้นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา การรักษาจิตให้นิ่งและเห็นความจริงตามที่เป็นจริงเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “สมาธิ” ไม่ได้เป็นเพียงการทำาจิตให้สงบ แต่ยังเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการ รู้แจ้งความเกิดขึ้นและความดับไปของรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือที่เรียกรวมกันว่า “ขันธ์ห้า”

พระสูตร “อานุภาพของสมาธิ” แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ เราสามารถเห็นโครงสร้างการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ และเส้นทางการดับทุกข์ได้อย่างเป็นลำาดับ


สมาธิ: กุญแจไขความจริงของชีวิต

พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุผู้มีจิตเป็นสมาธิและตั้งมั่น ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริงถึงการเกิดและดับแห่งขันธ์ทั้งห้า การรู้เช่นนี้ไม่ได้เป็นเพียงความเข้าใจเชิงปัญญา แต่เป็นการเห็นด้วยประสบการณ์ตรงจากสมาธิอันมั่นคง

ขันธ์ทั้งห้าประกอบด้วย

  1. รูป – สิ่งที่เป็นรูปธรรม เช่น ร่างกาย วัตถุภายนอก
  2. เวทนา – ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์
  3. สัญญา – การจำได้หมายรู้
  4. สังขาร – การปรุงแต่งทางใจ
  5. วิญญาณ – การรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

วงจรการเกิดทุกข์: จากความเพลินสู่ชรา มรณะ

พระสูตรชี้ให้เห็นว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเรา “เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ และเมาหมก” อยู่ในขันธ์ทั้งห้า ความเพลินนี้คือ นันทิ ซึ่งนำไปสู่อุปาทาน (การยึดมั่นถือมั่น) จากนั้นจึงเกิดภพ ชาติ และต่อเนื่องไปถึงชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาส

กล่าวคือ ความเพลิน → อุปาทาน → ภพ → ชาติ → ชรา-มรณะและทุกข์ทั้งปวง


การดับทุกข์: เริ่มจากการไม่เพลินในขันธ์ห้า

ในทางตรงข้าม หากภิกษุ “ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ และไม่เมาหมก” ในขันธ์ทั้งห้า ความเพลินย่อมดับไป เมื่อความเพลินดับ อุปาทานก็ดับ ภพดับ ชาติดับ และทุกข์ทั้งสิ้นก็ดับตามลำาดับ

นี่คือการเห็น “ปฏิจจสมุปบาท” ในลักษณะการดับ (นิโรธวาร) อย่างเป็นลำาดับขั้นตอน


สมาธิกับการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

แม้เราจะไม่ใช่ภิกษุในป่า แต่การนำาหลักนี้มาปรับใช้ในชีวิตก็ทำาได้ เช่น

  • ฝึกสติรู้ทันความรู้สึกสุข-ทุกข์ในปัจจุบัน โดยไม่ปล่อยให้ความเพลินหรือความเกลียดชังครอบงำ
  • ใช้สมาธิเป็นเครื่องมือดูการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจ โดยไม่ยึดถือว่าเป็น “เรา” หรือ “ของเรา”
  • สังเกตว่าความยึดติดในสิ่งที่ชอบหรือไม่ชอบ นำาไปสู่ความทุกข์อย่างไร

สรุป

อานุภาพของสมาธิในพระสูตรนี้ แสดงให้เห็นว่า สมาธิไม่ได้เพียงทำาให้ใจสงบ แต่เป็นหนทางสู่การเห็นความจริงตามที่เป็นจริงของการเกิดและดับแห่งขันธ์ทั้งห้า การรู้เช่นนี้ช่วยให้เราตัดวงจรทุกข์ได้ตั้งแต่ต้นทาง นี่คือหัวใจของการปฏิบัติที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้อย่างลึกซึ้ง


บทความอื่นที่น่าสนใจ:

แหล่งอ้างอิง:

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน)

[อานุภาพของสมาธิ (นัยที่ ๒)]

-บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๘/๒๗.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  พวกเธอทั้งหลาย จงเจริญสมาธิเถิด. 
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุผู้มีจิตเป็นสมาธิตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริง ก็ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งอะไรเล่า ? 
ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดตามที่เป็นจริง ซึ่งความเกิดขึ้นและความดับไปแห่งรูป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่งวิญญาณ.
ภิกษุทั้งหลาย !  ก็การเกิดขึ้นแห่งรูป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่งวิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ ซึ่งอะไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ซึ่งรูป เมื่อภิกษุนั้น
 
 
 
เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ซึ่งรูป, ความเพลิน (นันทิ) ย่อมเกิดขึ้น ความเพลินใด ในรูป, ความเพลินนั้นคือ อุปาทาน เพราะอุปาทานของภิกษุนั้น เป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ซึ่งเวทนา ... ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ซึ่งสัญญา ... ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ซึ่งสังขารทั้งหลาย ... ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
 
 
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมเพลิดเพลิน ย่อมพร่ำสรรเสริญ ย่อมเมาหมกอยู่ซึ่งวิญญาณ เมื่อภิกษุนั้น เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ เมาหมกอยู่ซึ่งวิญญาณ, ความเพลิน (นันทิ) ย่อมเกิดขึ้น ความเพลินใด ในวิญญาณ, ความเพลินนั้น คือ อุปาทาน เพราะอุปาทานของภิกษุนั้นเป็นปัจจัย จึงมีภพ; เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ; เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !  นี้คือ ความเกิดขึ้นแห่งรูป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่งวิญญาณ.
ภิกษุทั้งหลาย !  ก็ความดับแห่งรูป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่งวิญญาณ เป็นอย่างไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำสรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ 
 
 
 
ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำสรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ ซึ่งอะไรเล่า ?
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำสรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซึ่งรูป เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ซึ่งรูป, ความเพลิน (นันทิ) ใด ในรูป, ความเพลินนั้น ย่อมดับไป เพราะความดับแห่งความเพลินของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน, เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาติ, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำสรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซึ่งเวทนา ... ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำสรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซึ่งสัญญา ... ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
 
 
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลินย่อมไม่พร่ำสรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซึ่งสังขารทั้งหลาย ... ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !  ภิกษุนั้น ย่อมไม่เพลิดเพลิน ย่อมไม่พร่ำสรรเสริญ ย่อมไม่เมาหมกอยู่ซึ่งวิญญาณ เมื่อภิกษุนั้น ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่เมาหมกอยู่ซึ่งวิญญาณ, ความเพลิน (นันทิ) ใด ในวิญญาณ, ความเพลินนั้น ย่อมดับไป เพราะความดับแห่งความเพลินของภิกษุนั้น จึงมีความดับแห่งอุปาทาน, เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ; เพราะมีความดับแห่งชาติ, ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้.
ภิกษุทั้งหลาย !  นี้คือ ความดับแห่งรูป ...แห่งเวทนา ...แห่งสัญญา ...แห่งสังขารทั้งหลาย ...แห่งวิญญาณ, ดังนี้ แล.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *