ผู้เห็นแก่การนอน : โทษของความขี้เกียจตามพุทธวจน
สารบัญ
Toggleในยุคที่ผู้คนแสวงหาความสะดวกสบายเป็นอันดับแรก การพักผ่อนและการนอนหลับกลายเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด แม้จะเป็นเรื่องปกติที่ร่างกายต้องการการพัก แต่หากหมกมุ่นอยู่กับความสุขจากการนอนโดยไม่ทำหน้าที่หรือปฏิบัติสิ่งที่ควรทำ อาจนำไปสู่ความเสื่อมทั้งในหน้าที่การงานและในทางธรรม บทพระสูตรนี้ชี้ให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า แม้บุคคลมีตำแหน่งสูงหรือมีปัญญาเพียงใด หากเอาแต่แสวงหาความสุขจากการนอน ก็ไม่อาจรักษาหน้าที่หรือบรรลุเป้าหมายสูงสุดได้
ความจริงที่ไม่เคยมีใครพบเห็น
พระพุทธเจ้าทรงยกตัวอย่างให้ภิกษุทั้งหลายพิจารณา
ไม่ว่าพระราชา ขุนนาง หรือแม้แต่นักบวชผู้มีเป้าหมายทางจิตวิญญาณสูงสุด ก็ไม่เคยมีใครที่มัวเมาในความสุขจากการนอนแล้วสามารถรักษาหน้าที่ของตนให้สำเร็จหรือนำพาชีวิตไปถึงจุดหมายอันสูงส่งได้
สิ่งนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ทั้งพระองค์และสาวกไม่เคยพบเห็นหรือได้ยินมาก่อน
เหตุแห่งความไม่สำเร็จ
การหมกมุ่นกับการนอน มักมาพร้อมกับพฤติกรรมอื่นที่บั่นทอนความเจริญ ได้แก่
ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ ปล่อยให้ตาหูจมูกลิ้นกายใจฟุ้งซ่านไปตามสิ่งเร้า
ไม่รู้ประมาณในการบริโภค กินโดยไม่มีสติ อิ่มเกินพอดีทำให้เกิดความง่วงเหงา
ไม่ประกอบธรรมเป็นเครื่องตื่น ไม่หมั่นสร้างความเพียรเพื่อขจัดความเกียจคร้าน
ไม่เห็นกุศลธรรมอย่างแจ่มแจ้ง ขาดการพิจารณาว่าสิ่งใดควรละ สิ่งใดควรทำ
ไม่ประกอบอนุโยคภาวนา ทั้งในยามต้นและยามปลายของวัน
เมื่อคุณสมบัติเหล่านี้ขาดหาย เป้าหมายสูงสุดอย่างเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติย่อมเป็นไปไม่ได้
แนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ
พระองค์ทรงสรุปชัดว่า ผู้ปฏิบัติธรรมควรตั้งสติสำเหนียกไว้เสมอว่า
คุ้มครองทวารในอินทรีย์
รู้ประมาณในการบริโภค
หมั่นประกอบธรรมเป็นเครื่องตื่น
เห็นกุศลธรรมอย่างแจ่มแจ้ง
ประกอบอนุโยคภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเช้าและเย็น
นี่คือหลักการใช้ชีวิตที่ไม่เพียงช่วยให้หลุดพ้นจากความเกียจคร้าน แต่ยังเป็นเส้นทางสู่ความก้าวหน้าในทางธรรมและทางโลก
ข้อคิดสำหรับคนยุคนี้
แม้เราจะไม่ได้เป็นพระราชา ขุนนาง หรือสมณะ แต่ทุกคนมี “หน้าที่” ที่ต้องรับผิดชอบ หากเราปล่อยให้ความสุขจากการนอนมาบดบังความเพียร หน้าที่เหล่านั้นก็จะค่อยๆ เสื่อมลง เช่นเดียวกับร่างกายที่ไม่ได้รับการฝึกฝนก็จะอ่อนแอ จิตใจที่ไม่ได้รับการอบรมก็จะหย่อนยาน
พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน)
[ผู้เห็นแก่นอน]
-บาลี ฉกฺก. อํ. ๒๒/๓๓๓/๒๘๘.ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลาย จะเข้าใจเรื่องนี้กันอย่างไร ? พวกเธอเคยได้เห็นได้ฟังมาบ้างหรือว่า พระราชา ผู้เป็นกษัตริย์ได้รับมุรธาภิเษกแล้ว ทรงประกอบความสุขในการประทม หาความสุขในการเอนพระวรกาย หาความสุขในการประทมหลับ ตามแต่พระประสงค์อยู่เนืองนิจ ยังคงทรงปกครองราชสมบัติให้เป็นที่รักใคร่ ถูกใจพลเมือง จนตลอดพระชนม์ชีพได้อยู่หรือ ? “อย่างนี้ ไม่เคยได้เห็นได้ฟังเลย พระเจ้าข้า !”.ดีแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่กล่าวนี้ แม้เราเองก็ไม่เคยได้เห็น ได้ฟังอย่างนั้นเหมือนกัน.ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลาย จะเข้าใจเรื่องนี้กันอย่างไร ? พวกเธอเคยได้เห็นได้ฟังมาบ้างหรือว่า ผู้ครองรัฐก็ดี ทายาทผู้สืบมรดกก็ดี เสนาบดีก็ดี นายบ้านก็ดี และหัวหน้าหมู่บ้านก็ดี ประกอบความสุขในการนอน หาความสุขในการเอนกาย หาความสุขในการหลับ ตามสบายใจอยู่เนืองนิจ ยังคงดำรงตำแหน่งนั้นๆ ให้เป็นที่รักใคร่ ถูกใจของ (ประชาชนทุกเหล่า) กระทั่งลูกหมู่ จนตลอดชีวิตได้อยู่หรือ ? “อย่างนี้ ไม่เคยได้เห็นได้ฟังเลย พระเจ้าข้า !”.ดีแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่กล่าวนี้ แม้เราเองก็ไม่เคยได้เห็น ได้ฟัง อย่างนั้นเหมือนกัน.ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลาย จะเข้าใจเรื่องนี้กันอย่างไร ? พวกเธอเคยได้เห็นได้ฟังมาบ้างหรือว่า สมณะหรือพราหมณ์ ที่เอาแต่ประกอบความสุขในการนอน หาความสุขในการเอนกาย หาความสุขในการหลับ ตามสบายใจอยู่เสมอๆ, ทั้งเป็นผู้ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย, ไม่รู้ประมาณในการบริโภค, ไม่ตามประกอบธรรมเป็นเครื่องตื่น, ไม่เห็นแจ่มแจ้งซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย, ไม่ตามประกอบการทำเนืองๆ ในโพธิปักขิยธรรม ทั้งในยามต้นและยามปลาย แล้วยังจะกระทำให้แจ้งได้ซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันประเสริฐยิ่งเองในทิฏฐธรรมเทียว เข้าถึงแล้วแลอยู่ ? “ข้อนั้น ก็ยังไม่เคยได้เห็นได้ฟังเลย พระเจ้าข้า !”.ดีแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อที่กล่าวถึงนี้ แม้เราเอง ก็ไม่เคยได้เห็น ได้ฟังอย่างนั้นเหมือนกัน.ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้ว่า “เราทั้งหลาย จักคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย, เป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค, ตามประกอบธรรมเป็นเครื่องตื่น,เป็นผู้เห็นแจ่มแจ้งซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย, และจักตามประกอบอนุโยคภาวนาในโพธิปักขิยธรรม ทั้งในยามต้นและยามปลายอยู่เสมอๆ” ดังนี้.ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอทั้งหลายพึงสำเหนียกใจ อย่างนี้แล.