ผลบุญจาก ทาน ทมะ สัญญมะ ที่ยกชีวิตไม่ให้ตกต่ำ
สารบัญ
Toggleในชีวิตของเรา หลายคนอาจเคยตั้งคำถามว่า “ทำไมบางคนดูเหมือนจะมีพลัง มีบารมี และได้รับการยกย่องนับถือจากผู้คน” คำตอบอาจไม่ได้อยู่เพียงในความสามารถหรือโชคชะตา แต่ลึกไปถึง “กรรม” ที่สั่งสมไว้ พระพุทธเจ้าตรัสเล่าประสบการณ์ของพระองค์เองว่า เหตุแห่งฤทธิ์และอานุภาพอันยิ่งใหญ่นั้น เกิดจากกรรม 3 ประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ และนำพาชีวิตไปสู่ความไม่ตกต่ำ
เนื้อหาเชิงวิเคราะห์
1. ความหมายของทาน ทมะ และสัญญมะ
ทาน คือ การให้ การแบ่งปัน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ สิ่งของ หรือธรรมะ การให้ด้วยใจเมตตาย่อมก่อให้เกิดบุญอันมหาศาล
ทมะ คือ การบีบบังคับใจ ฝึกใจให้ละความอยาก ความโกรธ และความหลง
สัญญมะ คือ การสำรวมระวัง ทั้งทางกาย วาจา และใจ ไม่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ
สามสิ่งนี้ไม่ใช่เพียงหลักศีลธรรม แต่เป็น “เครื่องสร้างบารมี” ที่มีพลังยิ่งกว่าที่เราคิด
2. พระพุทธเจ้ากับกรรม 3 ประการ
ในพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงเล่าว่าในอดีตพระองค์เคยเจริญเมตตาภาวนาตลอด 7 ปี และได้เสวยภพในพรหมโลกและสวรรค์ชั้นสูงมากมาย รวมถึงเคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหลายร้อยครั้ง เหตุแห่งอานุภาพนี้ไม่ใช่เพราะบังเอิญ แต่เพราะผลของ ทาน ทมะ และสัญญมะ ที่ทรงสั่งสม
3. หลักธรรมนี้ใช้ได้กับชีวิตปัจจุบันอย่างไร
ทาน: การช่วยเหลือผู้อื่นในที่ทำงานหรือในครอบครัว ไม่ต้องรอให้รวยก่อนถึงจะให้
ทมะ: ฝึกใจให้อดทนต่อคำพูดหรือเหตุการณ์ที่กระทบใจ ไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์
สัญญมะ: รักษาวาจาให้สุภาพ และควบคุมพฤติกรรมไม่ให้เบียดเบียนใคร
แม้ในสังคมปัจจุบัน หากเราสั่งสมสามสิ่งนี้อย่างต่อเนื่อง ผลคือ ความน่าเชื่อถือ บารมี และความสัมพันธ์ที่ดี ย่อมนำพาโอกาสและความสำเร็จมาเอง
4. มิติทางกรรมและโลกหน้า
ตามคำสอนนี้ กรรมดีที่เกิดจากทาน ทมะ และสัญญมะ ไม่เพียงส่งผลให้ชีวิตปัจจุบันเจริญรุ่งเรือง แต่ยังนำไปสู่ภูมิที่สูงขึ้นหลังความตาย เป็นหลักประกันทางจิตวิญญาณให้พ้นจากความตกต่ำ
สรุป
สามบันไดแห่งบุญนี้ คือ การให้ (ทาน), การฝึกใจ (ทมะ), และ การสำรวม (สัญญมะ) หากฝึกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าชาติไหนๆ ย่อมเป็นเหตุให้ชีวิตสูงขึ้นทั้งทางโลกและทางธรรม
พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน)
[กรรมที่ทำให้ได้รับผลเป็นความไม่ตกต่ำ]
-บาลี อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๔๐/๒๐๐.ภิกษุทั้งหลาย ! แต่ชาติที่แล้วมาแต่อดีต ตถาคตได้เคยเจริญเมตตาภาวนาตลอด ๗ ปี จึงไม่เคยมาบังเกิดในโลกมนุษย์นี้ ตลอด ๗ สังวัฏฏกัปป์ และวิวัฏฏกัปป์ ในระหว่างกาลอันเป็นสังวัฏฏกัปป์นั้น เราได้บังเกิดในอาภัสสรพรหม ในระหว่างกาลอันเป็นวิวัฏฏกัปป์นั้น เราก็ได้อยู่พรหมวิมานอันว่างเปล่าแล้ว.ภิกษุทั้งหลาย ! ในกัปป์นั้น เราได้เคยเป็นพรหม ได้เคยเป็นมหาพรหมผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครครอบงำได้ เป็นผู้เห็นสิ่งทั้งปวงโดยเด็ดขาด เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด.ภิกษุทั้งหลาย ! เราได้เคยเป็นสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเทวดา นับได้ ๓๖ ครั้ง เราได้เคยเป็นราชาจักรพรรดิผู้ประกอบด้วยธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม มีแว่นแคว้นจรดมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นที่สุด เป็นผู้ชนะแล้วอย่างดี มีชนบทอันบริบูรณ์ประกอบด้วยแก้วเจ็ดประการ นับด้วยร้อยๆ ครั้ง, ทำไมจะต้องกล่าวถึงความเป็นราชาตามธรรมดาด้วย.ภิกษุทั้งหลาย ! ความคิดได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ผลวิบากแห่งกรรมอะไรของเราหนอ ที่ทำให้เราเป็นผู้มีฤทธิ์มากถึงอย่างนี้ มีอานุภาพมากถึงอย่างนี้ ในครั้งนั้นๆ.ภิกษุทั้งหลาย ! ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ผลวิบากแห่งกรรม ๓ อย่างนี้แล ที่ทำให้เรามีฤทธิ์มากถึงอย่างนี้ มีอานุภาพมากถึงอย่างนี้,วิบากแห่งกรรม ๓ อย่าง ในครั้งนั้น คือ :- (๑) ผลวิบากแห่งทาน การให้ (๒) ผลวิบากแห่งทมะ การบีบบังคับใจ (๓) ผลวิบากแห่งสัญญมะ การสำรวมระวัง ดังนี้.