นิทานก่อนนอน, นิทานพื้นบ้านหรือตำนาน 🏞️

[BTSR]: ตำนานพระอาทิตย์และจันทรา

ตำนานพระอาทิตย์และจันทรา

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อโลกยังอยู่ในช่วงเวลาของการสร้างสรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นเพียงหยาดน้ำแห่งความหวังและความฝัน ท้องฟ้ายังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีเพียงแสงแห่งความมืดสลับกับความสว่างที่เลือนราง จนกระทั่งวันหนึ่ง เทพแห่งแสงสว่างและเทพแห่งรัตติกาลตัดสินใจสร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพื่อมอบความสมดุลให้กับโลก

เทพแห่งแสงสว่างมีลูกชายชื่อ “โซลัส” เป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยพลังและความอบอุ่น เขาได้รับมอบหมายให้เป็นดวงอาทิตย์ ผู้ที่จะมอบแสงสว่างให้แก่โลก ส่วนเทพแห่งรัตติกาลมีลูกสาวชื่อ “ลูน่า” หญิงสาวผู้สงบเสงี่ยมและงดงามราวกับดวงดาว เธอได้รับหน้าที่เป็นดวงจันทร์ ผู้จะให้ความสงบและเย็นใจในยามค่ำคืน

เมื่อทั้งสองได้รับภารกิจนี้ โซลัสและลูน่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่พวกเขาก็แอบเสียใจเล็กน้อย เพราะพวกเขารู้ว่าหน้าที่นี้จะทำให้พวกเขาไม่มีวันได้อยู่ใกล้ชิดกันอีกต่อไป ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต้องผลัดเปลี่ยนกันอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่มีโอกาสได้พบกันเลย

การเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์

ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มภารกิจ โซลัสและลูน่าใช้เวลาช่วงสุดท้ายด้วยกัน พวกเขานั่งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก มองดูท้องฟ้าสีครามที่ไม่มีขอบเขต โซลัสกล่าวกับลูน่าว่า “แม้เราจะต้องห่างกัน แต่ข้าสัญญาว่าจะเฝ้าดูเจ้าเสมอในยามที่ข้าอยู่บนฟากฟ้า” ลูน่าตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางเบา “และข้าก็จะทำให้โลกสงบในยามที่เจ้าไม่อยู่”

เมื่อถึงเวลา พวกเขาต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน โซลัสเริ่มต้นส่องแสงอันอบอุ่นสู่โลก มอบชีวิตให้แก่พืชพรรณและสรรพสัตว์ ลูน่าเองก็เปล่งแสงอ่อนโยนในยามค่ำคืน ทำให้ผู้คนหลับใหลด้วยความสบายใจ

ความท้าทายของการจากลา

แม้เวลาจะผ่านไปหลายศตวรรษ โซลัสและลูน่าก็ยังคงคิดถึงกันเสมอ พวกเขาแอบส่งข้อความถึงกันผ่านดวงดาว ดวงดาวที่เปล่งประกายในยามค่ำคืนคือเสียงของโซลัสที่ส่งถึงลูน่า และเงาจันทร์ที่สะท้อนบนพื้นโลกในยามกลางวันคือความคิดถึงของลูน่าที่ส่งถึงโซลัส

แต่เมื่อความเหงาสะสมมากขึ้น โซลัสเริ่มสงสัยในหน้าที่ของตนเอง “เหตุใดข้าจึงต้องส่องแสงทั้งที่ข้าไม่มีความสุขเลย?” เขาถามตัวเอง ในขณะเดียวกัน ลูน่าก็เริ่มรู้สึกเศร้า “แสงของข้าไม่อาจเทียบกับแสงของโซลัสได้ ผู้คนอาจไม่ต้องการข้าเลย”

การเผชิญหน้าและความเข้าใจ

วันหนึ่ง เมื่อทั้งสองรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถแบกรับภาระนี้ได้อีกต่อไป โซลัสจึงตัดสินใจปล่อยแสงแรงที่สุดจนแผดเผาโลก ขณะที่ลูน่าทำให้ท้องฟ้ามืดมิดจนผู้คนหวาดกลัว เทพแห่งแสงสว่างและเทพแห่งรัตติกาลเห็นว่าลูกของพวกเขากำลังทุกข์ใจ จึงเรียกโซลัสและลูน่ามาพบ

“เหตุใดเจ้าจึงทำให้โลกเดือดร้อน?” เทพแห่งแสงสว่างถามโซลัส “ข้าเพียงต้องการแสดงให้เห็นว่าข้าทรมานเพียงใดที่ไม่ได้พบลูน่า” โซลัสตอบ

ลูน่ากล่าวเสริม “และข้าก็รู้สึกว่าข้าไม่มีคุณค่า หากไม่มีแสงของโซลัสเป็นแรงบันดาลใจ”

เทพแห่งรัตติกาลจึงเอ่ยขึ้น “แต่หน้าที่ของพวกเจ้าคือการมอบสมดุลให้กับโลก ไม่ใช่เพื่อความสุขส่วนตัวของเจ้า”

ทั้งสองเงียบไป แต่ก็เริ่มเข้าใจถึงความสำคัญของตนเอง โซลัสตระหนักว่าลูน่ามีบทบาทสำคัญในการมอบความสงบแก่โลก เช่นเดียวกับที่ลูน่าตระหนักว่าแสงของโซลัสคือพลังที่สร้างชีวิต

บทเรียนแห่งสมดุล

เทพทั้งสองจึงตัดสินใจมอบรางวัลให้โซลัสและลูน่าโดยอนุญาตให้พวกเขาได้พบกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ทุก ๆ ปี ครั้งละหนึ่งวัน ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่เราเรียกว่า “สุริยุปราคา” ในวันนั้น ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จะโคจรมาพบกันกลางฟ้า เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและการยอมรับในหน้าที่ของตนเอง

ตั้งแต่นั้นมา โซลัสและลูน่ายังคงทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างเต็มที่ และไม่ลืมที่จะเฝ้าดูแลโลกด้วยความรักและสมดุล

ข้อคิดสอนใจ

ตำนานนี้สอนให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของหน้าที่และสมดุลในชีวิต แม้บางครั้งเราจะต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า การเรียนรู้ที่จะยอมรับและเห็นคุณค่าในสิ่งที่เรามีคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและสมดุล เช่นเดียวกับโซลัสและลูน่าที่พบความสุขในหน้าที่ของตนเอง แม้พวกเขาจะต้องอยู่ห่างไกลกันก็ตาม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *