พุทธวจน

ผู้ไม่เข้าไปหา ย่อมหลุดพ้น : ทางสู่ความดับทุกข์ตามพุทธวจน

ผู้ไม่เข้าไปหา ย่อมหลุดพ้น พระพุทธเจ้าประทับนั่งสมาธิ ท่ามกลางธรรมชาติ

สารบัญ

ทำไมเรายังวนเวียนอยู่กับความทุกข์?

หลายคนอาจเคยถามตัวเองว่า “ทำไมชีวิตยังไม่พ้นจากความทุกข์เสียที แม้จะพยายามแค่ไหน?”
พระพุทธเจ้าตรัสสอนชัดเจนว่า ต้นเหตุคือ “การเข้าไปหา” หรือการยึดถือขันธ์ทั้งห้า ไม่ว่าจะเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร หรือวิญญาณ เมื่อมีการเข้าไปหา ความยึดมั่นถือมั่นก็เกิดขึ้น และวิญญาณก็จะมีที่ตั้งมั่นให้ปรุงแต่งต่อไปในวัฏฏะสงสาร แต่ถ้า “ไม่เข้าไปหา” ย่อมเป็นทางแห่งการหลุดพ้น

พระสูตรนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจว่า การดับทุกข์ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเกินเอื้อม แต่เป็นเรื่องของการรู้เท่าทัน และ ละราคะในขันธ์ทั้งห้า


ผู้เข้าไปหา คือผู้ไม่หลุดพ้น

พระพุทธองค์ตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย! ผู้เข้าไปหา เป็นผู้ไม่หลุดพ้น; ผู้ไม่เข้าไปหา เป็นผู้หลุดพ้น”

การ “เข้าไปหา” (อุปาทาน) คือการที่จิตวิญญาณเข้าไปยึดเอาขันธ์ห้าเป็นที่ตั้งอาศัย เช่น

  • รูป → การยึดติดกับร่างกาย ความงาม ความแข็งแรง
  • เวทนา → การยึดติดในความสุข ความทุกข์ หรือความรู้สึกเฉยๆ
  • สัญญา → การยึดในความจำ ความหมาย ความคิด
  • สังขาร → การยึดในความคิดปรุงแต่ง ความอยาก ความกลัว ความหวัง
  • วิญญาณ → การยึดในความรู้สึกตัว การรับรู้อารมณ์ต่างๆ

เมื่อวิญญาณเข้าไปส้องเสพ (มีนันทิเป็นที่อาศัย) จึงเกิดความงอกงามไพบูลย์ หมายถึง วัฏฏะแห่งการเกิดดับยังดำเนินต่อไป


ผู้ไม่เข้าไปหา คือผู้หลุดพ้น

การ ไม่เข้าไปหา มิได้หมายถึงการหนีหายจากโลกหรือการทำลายขันธ์ห้า แต่หมายถึง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์เหล่านั้น

เมื่อใดที่ละราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณได้ เมื่อนั้น

  • อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง → วิญญาณไม่อาจตั้งอยู่ได้
  • ที่ตั้งของวิญญาณไม่มี → ไม่มีเชื้อให้เกิดใหม่
  • วิญญาณไม่งอกงาม → วัฏฏะแห่งการเกิดดับสิ้นสุด
  • เป็นผู้หลุดพ้น ไม่ถูกปรุงแต่ง → จิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
  • บรรลุปรินิพพานเฉพาะตน → รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว กิจที่ควรทำเสร็จสิ้นแล้ว

นี่คือเส้นทางแห่งความเป็น อรหันต์ ผู้ไม่เวียนว่ายในสังสารวัฏอีกต่อไป


ทำไม “การเข้าไปหา” จึงเป็นรากของทุกข์?

  1. ความยึดมั่นในรูป → ทำให้เรากลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย
  2. ความยึดมั่นในเวทนา → ทำให้เราติดสุข หนีทุกข์ แต่ก็วนเวียนอยู่กับมัน
  3. ความยึดมั่นในสัญญา → ทำให้เราติดกับดักของความจำ ความคิด ความเห็นผิด
  4. ความยึดมั่นในสังขาร → ทำให้เราไม่หยุดดิ้นรน แสวงหาสิ่งไม่เที่ยง
  5. ความยึดมั่นในวิญญาณ → ทำให้เราเข้าใจผิดว่ามี “ตัวเรา” ที่คงอยู่ตลอดไป

สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้วิญญาณยังเจริญงอกงามในวัฏฏะ ไม่สิ้นสุดการเวียนว่าย


วิธีปฏิบัติ : จะ “ไม่เข้าไปหา” ได้อย่างไร?

  1. พิจารณาไตรลักษณ์ในขันธ์ห้า → เห็นว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
  2. เจริญสมถะและวิปัสสนา → เพื่อให้จิตตั้งมั่น และเห็นความจริงตามความเป็นจริง
  3. ละราคะ ตัณหา อุปาทาน → ไม่ส้องเสพ ไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง
  4. ดำเนินตามอริยมรรคมีองค์แปด → ทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจน

ประโยชน์ของการไม่เข้าไปหา

  • ความทุกข์สิ้นสุด → เพราะไม่ถูกปรุงแต่ง
  • จิตตั้งมั่น → มั่นคง ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
  • เข้าถึงความสงบเย็นแท้จริง → ความสุขที่ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก
  • บรรลุนิพพาน → ความหลุดพ้นสูงสุด

สรุป

พระสูตรนี้ย้ำชัดว่า การดับทุกข์ไม่ได้อยู่ที่การหนีโลก แต่อยู่ที่การ ไม่เข้าไปหา หรือไม่ยึดมั่นในขันธ์ห้า เมื่อราคะและตัณหาถูกละเสีย วิญญาณก็ไม่มีที่ตั้ง วัฏฏะก็สิ้นสุด การหลุดพ้นก็เกิดขึ้น


🔗 บทความอื่นที่น่าสนใจ


📚 แหล่งอ้างอิง

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน เล่มเล็ก ฉบับที่ ๑ ตามรอยธรรม)

๒๒. ผู้ไม่เข้าไปหา ย่อมหลุดพ้น

-บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๖๖/๑๐๕.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ผู้เข้าไปหา  เป็นผู้ไม่หลุดพ้น;  ผู้ไม่เข้าไปหา  เป็นผู้หลุดพ้น.
ภิกษุทั้งหลาย !  วิญญาณซึ่งเข้าถือเอารูปตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้;  
 
ภิกษุทั้งหลาย !  วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาเวทนาตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีเวทนาเป็นอารมณ์ มีเวทนาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้;  
 
ภิกษุทั้งหลาย !  วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสัญญาตั้งอยู่  ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสัญญาเป็นอารมณ์ มีสัญญาเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้;  
 
ภิกษุทั้งหลาย !  วิญญาณซึ่งเข้าถือเอาสังขารตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ได้, เป็นวิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้งอาศัย มีนันทิเป็นที่เข้าไปส้องเสพ ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ได้.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า “เราจักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร” ดังนี้นั้น,  นี่ไม่ใช่ฐานะที่จักมีได้เลย.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ถ้าราคะในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ  ในสัญญาธาตุ  ในสังขารธาตุ  ในวิญญาณธาตุ  เป็นสิ่งที่ภิกษุละได้แล้ว; เพราะละราคะได้, อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง, ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี, วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม, หลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง, 
 เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น, เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง, เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว, เมื่อไม่หวั่นไหว  ก็ปรินิพพานเฉพาะตน.
ย่อมรู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำ  ได้ทำสำเร็จแล้ว, กิจอื่นที่จะต้องทำ เพื่อความเป็นอย่างนี้  มิได้มีอีก” ดังนี้.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *