พุทธวจน

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องทุกข์ และความดับทุกข์เท่านั้น

ภาพจิตรกรรมไทยร่วมสมัยแสดงความทุกข์และความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าประทับนั่งกลางดอกบัวท่ามกลางแสงสว่าง

สารบัญ

ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยปัญหาชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการทำงาน ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน หรือความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ เรามักแสวงหาคำตอบว่า “ทำอย่างไรถึงจะพ้นทุกข์ได้จริง” พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ชัดเจนว่า พระองค์มิได้มาสอนสิ่งใดนอกจาก เรื่องทุกข์และความดับทุกข์ เท่านั้น ซึ่งเป็นหัวใจของพระธรรมทั้งหมด และเป็นเส้นทางสู่การหลุดพ้นที่แท้จริง


พระสูตรต้นฉบับ: เน้นเพียงทุกข์และความดับทุกข์

พระสูตรกล่าวว่า ถึงแม้พระองค์จะถูกสมณะหรือพราหมณ์บางพวกกล่าวตู่ ว่าทรงสอนลัทธิสูญเปล่าหรือความวินาศ แต่แท้จริงแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสชัดว่า

“ในกาลก่อนก็ตาม ในกาลบัดนี้ก็ตาม เราบัญญัติสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับสนิทไม่มีเหลือของความทุกข์เท่านั้น” (บาลี มู.ม. ๑๒/๒๗๖/๒๘๖)

นี่คือหัวใจแห่งพุทธวจน และเป็นหลักฐานว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญาสูญนิยม แต่เป็นการสอนให้เข้าใจ “ความจริงของทุกข์” และ “หนทางดับทุกข์” อย่างลึกซึ้ง


การตีความเชิงลึก: ทุกข์คืออะไร?

“ทุกข์” ตามพุทธวจนมิได้หมายถึงความเศร้าเสียใจเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความพลัดพรากจากสิ่งรัก การประสบสิ่งไม่พอใจ และแม้แต่ความยึดมั่นในขันธ์ห้า (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ก็เป็นทุกข์ทั้งสิ้น

พระองค์ทรงเปิดเผยว่า หากไม่รู้ทุกข์ ไม่เห็นเหตุแห่งทุกข์ ก็จะเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


ความดับทุกข์: จุดหมายสูงสุด

พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสเพียงทุกข์ แต่ยังทรงชี้ถึง นิโรธ คือความดับสนิทของทุกข์ ไม่มีเหลือ ซึ่งเป็นสภาวะที่ปลอดจากตัณหาและอุปาทานโดยสิ้นเชิง

การดับทุกข์นี้ไม่ใช่เพียงการหนีปัญหา แต่เป็นการถอนรากแห่งเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ พระองค์ทรงสอนชัดว่า “เพราะความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน ความดับไม่เหลือแห่งภพย่อมมี”


การตอบสนองของตถาคตต่อการนินทาและสรรเสริญ

สิ่งหนึ่งที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือ แม้จะมีผู้ด่าว่า ถากถาง หรือสรรเสริญบูชา พระพุทธเจ้าก็ทรงวางเฉย ไม่หวั่นไหว ไม่โกรธเคือง และไม่หลงระเริง

  • ต่อ การนินทา: พระองค์ไม่โกรธเคือง เพราะเข้าใจตามความจริง
  • ต่อ การสรรเสริญ: พระองค์ไม่หลงเพลิดเพลิน แต่เตือนตนเองให้มีสติรู้อยู่เสมอ

นี่คือตัวอย่างการปฏิบัติ อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง) อันเป็นคุณธรรมที่ผู้ปฏิบัติควรเรียนรู้


พุทธวจนกับชีวิตประจำวัน

การเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาสอนเพียง “ทุกข์ และความดับทุกข์” ทำให้เรามีทิศทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการเจริญสติ สมถะและวิปัสสนา หรือการพิจารณาชีวิตประจำวัน เช่น การหายใจตามอานาปานสติ ล้วนมุ่งหมายไปที่การเห็นทุกข์และดับทุกข์ทั้งสิ้น


สรุป

หัวใจพระพุทธศาสนาจึงไม่ซับซ้อน พระองค์มิได้สอนเรื่องอื่นนอกจาก ทุกข์ และความดับทุกข์ นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาผู้สอนให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง


🔗 บทความอื่นที่น่าสนใจ


📚 แหล่งอ้างอิง

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน เล่มเล็ก ฉบับที่ ๑ ตามรอยธรรม)

๑๕. ทรงสอนเฉพาะแต่เรื่องทุกข์ กับความดับสนิทของทุกข์

-บาลี มู. ม. ๑๒/๒๗๖/๒๘๖.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ทั้งที่เรามีถ้อยคำอย่างนี้  มีการกล่าว อย่างนี้ สมณะและพราหมณ์บางพวก ยังกล่าวตู่เราด้วยคำเท็จเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่มีจริงให้เป็นจริงว่า 
“พระสมณโคดมเป็นคนจูงคนให้เดินผิดทางไปสู่ความฉิบหาย ย่อมบัญญัติลัทธิความสูญเปล่า ความวินาศ  ความไม่มีของสัตว์ คน ตัวตน เราเขา ขึ้นสั่งสอน” ดังนี้.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  สมณะและพราหมณ์บางพวกเหล่านั้น กล่าวตู่เราด้วยคำเท็จเปล่าๆ ปลี้ๆ  ไม่มีจริงให้เป็นจริง  โดยประการที่เราไม่ได้กล่าว หรือจะกล่าวอย่างนั้น ก็หามิได้.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ในกาลก่อนก็ตาม ในกาลบัดนี้ก็ตาม เราบัญญัติสอนแต่เรื่องความทุกข์ และความดับสนิทไม่มีเหลือของความทุกข์  เท่านั้น.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ในการกล่าวแต่เรื่องความทุกข์ และความดับสนิทไม่มีเหลือของความทุกข์เช่นนี้ แม้จะมีใครมาด่าว่า  ถากถาง  กระทบกระเทียบ  เสียดสี,  ตถาคตก็ไม่มีความขุ่นแค้น โกรธเคือง เดือดร้อนใจ เพราะเหตุนั้น แต่ประการใด.  
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ในเรื่องเดียวกันนั้นเอง  แม้จะมีใครมาสักการะ  เคารพ สรรเสริญ บูชา,  ตถาคตก็ไม่มีความรู้สึกเพลิดเพลิน  ชื่นชม  หรือเคลิ้มใจไปตาม. 
ถ้ามีใครมาสักการะ  เคารพ  สรรเสริญ  บูชา,  ตถาคตย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า ก่อนหน้านี้เรามีความรู้สึกตัวทั่วถึงอย่างไร บัดนี้เราก็ต้องทำความรู้สึกตัวทั่วถึงอย่างนั้น  ดังนี้.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *