พุทธวจน

“ดิน น้ำ ไฟ ลม” ไม่อาจหยั่งลงได้ในที่ไหน

พระพุทธเจ้าตรัสตอบภิกษุเรื่องดินน้ำไฟลมในสภาวะเหนือรูป

สารบัญ

เมื่อคำถามที่ผิดพาเราออกนอกเส้นทางแห่งธรรม

ในชีวิต คุณเคยตั้งคำถามที่ลึกซึ้งหรือไม่? คำถามที่ดูเหมือนจะนำไปสู่คำตอบยิ่งใหญ่ แต่กลับพาเราไกลออกไปจากความจริง เช่นเดียวกับภิกษุในพระสูตรนี้ ที่ตั้งคำถามว่า: "ดิน น้ำ ไฟ ลม ดับสนิทไม่มีเศษเหลือในที่ไหน?" ซึ่งคำถามนี้เอง ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางผ่านเหล่าเทวดาหลายชั้น จนถึงท้าวมหาพรหม

แต่สุดท้าย... แม้แต่ผู้ที่ดูเหมือนจะรู้ทุกอย่าง ก็ยังไม่อาจให้คำตอบได้

คำตอบที่แท้จริง... กลับอยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงชี้ให้เห็นว่า ปัญหานั้นอยู่ที่คำถามที่ผิดเอง


คำถามที่เปลี่ยนกรอบความคิด: ไม่ใช่ "ที่ไหน" แต่คือ "สิ่งนั้น"

พระพุทธเจ้าตรัสกับภิกษุว่า:

"เธอไม่ควรถามว่า ดิน น้ำ ไฟ ลม ดับในที่ไหน แต่ควรถามว่า: ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่อาจหยั่งลงได้ในที่ไหน?"

เหตุใดจึงผิด?

เพราะ "มหาภูต 4" หรือธาตุทั้งสี่ มิใช่สิ่งที่มีตัวตนตายตัวที่จะดับในที่ใดที่หนึ่งตามความเข้าใจแบบโลก ๆ การตั้งคำถามเช่นนี้ จึงสะท้อนความยึดมั่นถือมั่นใน นามรูป อย่างลึกซึ้ง


สิ่งซึ่งไม่หยั่งลงได้: สภาวะเหนือการปรุงแต่ง

พระพุทธองค์ทรงชี้ไปยัง "สิ่ง" หนึ่ง ซึ่งมีลักษณะดังนี้:

  • เป็นสิ่งที่บุคคลพึงรู้แจ้ง
  • ไม่มีปรากฏการณ์ (anidassana)
  • ไม่มีที่สุด (ananta)
  • แต่มีทางปฏิบัติเข้าไปถึงได้โดยรอบ

ในนั้นเอง ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่อาจหยั่งลงได้

ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่อาจหยั่งลงได้

นามรูปดับสนิท ไม่มีเศษเหลือได้ เพราะวิญญาณดับสนิท

"สิ่ง" นี้คืออะไร?

แม้พระสูตรจะไม่ระบุชื่อ แต่ตามหลักพุทธวจน สภาวะดังกล่าวตรงกับ นิพพาน อันเป็นที่ดับของนามรูปและวิญญาณ เป็นเป้าหมายสูงสุดแห่งการปฏิบัติธรรม


บทเรียนที่แท้จริง: ปัญญาย่อมอยู่เหนือรูปธรรม

เหตุการณ์ในพระสูตรนี้เปรียบเหมือน นกที่ถูกปล่อยจากเรือเพื่อค้นหาฝั่ง หากไม่มีฝั่งให้หยั่งลง มันก็จะต้องกลับมา... เช่นเดียวกับผู้แสวงหาความจริง หากใช้ความคิดเพียงโลกีย์ ก็จะวนเวียนไม่รู้จบ ต้องย้อนกลับมาหาธรรมแท้

การดับไม่เหลือของ นามรูป ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง แต่เกิดใน การรู้แจ้ง "สิ่งที่ไม่มีรูป" ซึ่งไม่อาจนิยามด้วยความยาว ความสั้น ความใหญ่ ความงาม ฯลฯ ได้อีกต่อไป


คำตอบที่เปลี่ยนโลก ไม่ใช่คำตอบที่ให้ แต่คือการย้อนกลับมาถามใหม่ให้ถูก

ภิกษุในเรื่องนี้แสวงหาคำตอบผิดที่ เพราะตั้งคำถามผิดธรรม พระพุทธเจ้าจึงเปลี่ยนกรอบความคิดทั้งหมด โดยชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่การเสาะหาสถานที่ที่สิ่งต่าง ๆ จะดับไป แต่คือการรู้แจ้ง "สิ่งที่สิ่งเหล่านั้นไม่อาจหยั่งลงได้"

นี่คือแก่นของธรรมที่ลึกซึ้ง และสะท้อนหัวใจของการปฏิบัติพุทธศาสนา:

ปล่อยวางการยึดมั่นในนามรูป และมุ่งตรงสู่การรู้แจ้ง "สิ่งที่พ้นจากการปรุงแต่ง"


สรุป

"ดิน น้ำ ไฟ ลม ดับที่ไหน" เป็นคำถามที่ผิด เพราะพาเราไปค้นหาในโลกแห่งการปรุงแต่งที่ไม่มีวันสิ้นสุด คำตอบแท้จริงอยู่ที่การรู้แจ้ง "สิ่ง" ซึ่งอยู่เหนือธาตุเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งไม่อาจถูกระบุด้วยรูป รส กลิ่น เสียง หรือการวัดใด ๆ ได้

การปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่เพียงการแสวงหาคำตอบ แต่คือการเปลี่ยนมุมมอง ตั้งคำถามใหม่ และเข้าถึงสิ่งที่รู้ได้ด้วยปัญญาเท่านั้น


บทความอื่นที่น่าสนใจ


แหล่งอ้างอิง

    •  

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน เล่มเล็ก ฉบับที่ 9)

[“ดิน น้ำ ไฟ ลม” ไม่อาจหยั่งลงได้ในที่ไหน]

-บาลี สี. ที. ๙/๒๗๗/๓๔๓.
 
เกวัฏฏะ !  เรื่องเคยมีมาแล้ว : ภิกษุรูปหนึ่ง ในหมู่ภิกษุนี้เอง เกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า “มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหนหนอ” ดังนี้.
 
(ความว่า ภิกษุรูปนั้นได้เข้าสมาธิอันอาจนำไปสู่เทวโลก ได้นำเอาปัญหาข้อที่ตนสงสัยนั้นไปเที่ยวถามเทวดาพวกจาตุมหาราชิกา, เมื่อไม่มีใครตอบได้ ก็เลยไปถามเทวดาในชั้นดาวดึงส์, เทวดาชั้นนั้นโยนให้ไปถามท้าวสักกะ, ท้าวสุยามะ, ท้าวสันตุสิตะ, ท้าวสุนิมมิตะ, ท้าวปรนิมมิตวสวัตตี, ถามเทพพวกพรหมกายิกา กระทั่งท้าวมหาพรหมในที่สุด, ท้าวมหาพรหมพยายามหลีกเลี่ยง เบี่ยงบ่ายที่จะไม่ตอบอยู่พักหนึ่ง แล้วในที่สุดได้สารภาพว่าพวกเทวดาทั้งหลาย พากันคิดว่าท้าวมหาพรหมเอง เป็นผู้รู้เห็นไปทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ที่จริงไม่รู้ ในปัญหาที่ว่า มหาภูตรูป จักดับไปในที่ไหนนั้นเลย มันเป็นความผิดของภิกษุนั้นเอง ที่ไม่ไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้า ในที่สุดก็ต้องย้อนกลับมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า)
 
เกวัฏฏะ !  ภิกษุนั้นได้กลับมาอภิวาทเรา นั่ง ณ ที่ควร แล้วถามเราว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เหล่านี้ ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ ในที่ไหน?” ดังนี้.
 
เกวัฏฏะ !  เมื่อเธอถามขึ้นอย่างนี้ เราได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่า แน่ะภิกษุ ! เรื่องเก่าแก่มีอยู่ว่า พวกค้าทางทะเล ได้พานกสำหรับค้นหาฝั่งไปกับเรือค้าด้วย เมื่อเรือหลงทิศในทะเล และแลไม่เห็นฝั่ง พวกเขาปล่อยนก สำหรับค้นหาฝั่งนั้นไป นกนั้นบินไปทางทิศตะวันออกบ้าง ทิศใต้บ้าง ทิศตะวันตกบ้าง ทิศเหนือบ้าง ทิศเบื้องบนบ้าง ทิศน้อยๆ บ้าง เมื่อมันเห็นฝั่งทางทิศใดแล้ว มันก็จะบินตรงไปยังทิศนั้น, แต่ถ้าไม่เห็น ก็จักบินกลับมาสู่เรือตามเดิม. ภิกษุ ! เช่นเดียวกับเธอนั้นแหละ ได้เที่ยวหาคำตอบของปัญหานี้ มาจนจบทั่วกระทั่งถึงพรหมโลกแล้ว ในที่สุดก็ยังต้องย้อนมาหาเราอีก.
ภิกษุ ! ในปัญหาของเธอนั้น เธอไม่ควรตั้งคำถามขึ้นว่า “มหาภูตสี่ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลมเหล่านี้ ย่อมดับสนิทไม่มีเศษเหลือในที่ไหน ?” ดังนี้เลย, 
 
อันที่จริง เธอควรจะตั้งคำถามขึ้นอย่างนี้ว่า : “ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน ?
ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้ในที่ไหน ? 
นามรูป ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือในที่ไหน ?” ดังนี้ ต่างหาก.
ภิกษุ ! ในปัญหานั้น คำตอบมีดังนี้ :
“สิ่ง” สิ่งหนึ่ง ซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด แต่มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบนั้น มีอยู่.  
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้.
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความไม่งาม ไม่หยั่งลงได้. 
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ย่อมดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ นามรูปดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้”.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *