ความไม่แปรปรวนของปัญญาตถาคต กับความจริงของความแก่ เจ็บ ตาย
สารบัญ
Toggleเมื่อพูดถึงความชรา ความเจ็บป่วย และความตาย คนทั่วไปมักรู้สึกหวาดกลัว หลีกเลี่ยง หรือซ่อนตัวจากความจริงเหล่านี้ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มรู้สึกว่าร่างกายและสติปัญญาเริ่มถดถอย แต่ในพระพุทธศาสนา กลับสอนให้เราเผชิญหน้ากับความจริงเหล่านี้อย่างมีสติ และที่ยิ่งกว่านั้นคือ แม้พระพุทธเจ้าเอง ในช่วงสุดท้ายก่อนปรินิพพาน ก็ยังทรงแสดงธรรมสอนเรื่องนี้ไว้อย่างลึกซึ้ง สะเทือนใจ และเปี่ยมด้วยปัญญาไม่แปรปรวน
บทความนี้จะพาเรามาทำความเข้าใจ “เหตุการณ์ช่วงปรินิพพาน” ที่พระองค์ตรัสถึงความเสื่อมของสังขาร แต่ ปัญญา และ ธรรมะ ของพระองค์ “ไม่แปรปรวนเลยแม้แต่น้อย” — พระธรรมตอนนี้เป็นหนึ่งในคำสอนที่ลึกซึ้งที่สุดและควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง
ปัญญาอันไม่แปรปรวนของพระพุทธเจ้า
“...แม้จักนำเราด้วยเตียงน้อย ความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแห่งปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไวของตถาคตก็มิได้มี...”
ในวัย 80 ปี พระพุทธองค์แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของจิตและปัญญา แม้พระวรกายจะร่วงโรย เหี่ยวย่น อวัยวะทั้งห้าจะเสื่อมถอยตามธรรมชาติ — แต่พระองค์ทรงยืนยันชัดเจนว่า “ธรรมเทศนา บทพยัญชนะ และ ปฏิภาณในการตอบปัญหา ของพระองค์ไม่แปรปรวนเลย”
ความจริงเรื่องความแก่ เจ็บ และตาย
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า:
“ความชรามีอยู่ในความหนุ่ม... ความตายมีอยู่ในชีวิต... ฉวีวรรณจึงไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียแล้ว...”
“โธ่เอ๋ย! ความแก่อันชั่วช้า... กายที่น่าพอใจ บัดนี้ก็ถูกความแก่ย่ำยีหมดแล้ว”
คำสอนนี้เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง เป็นการเตือนใจอย่างจริงจังว่า ทุกคนล้วนต้องเผชิญกับความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม สตรี บัณฑิต หรือผู้มีอำนาจ
ปลงอายุสังขาร และการตัดสินใจไม่รับอิทธิบาท
พระอานนท์ทูลขอให้พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ต่อด้วยอิทธิบาท แต่พระองค์ปฏิเสธ พร้อมตรัสว่า:
“มิใช่เวลาจะวิงวอนตถาคตเสียแล้ว... ข้อที่สัตว์จะหวังเอาสิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว ว่าสิ่งนี้อย่าฉิบหายเลย ย่อมไม่เป็นฐานะที่มีได้ เป็นได้”
พระองค์ตอกย้ำสัจธรรมแห่ง "อนิจจัง" และชี้ให้เห็นว่า ความหลงในความเที่ยงของสังขาร เป็นการยึดมั่นที่ไม่ถูกต้อง
คำเตือนสุดท้ายแก่สาวก
“ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีลเป็นอย่างดี มีความดำริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี ตามรักษาจิตของตนเถิด...”
“ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว จักละชาติสงสาร ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้”
ประโยคนี้คือหัวใจของพุทธวจน — การไม่ประมาทในชีวิต การมีสติ และมีศีล เป็นหนทางเดียวที่จะพ้นทุกข์ได้
คำศัพท์ที่ควรอ่านต่อในเว็บไซต์ JoyfulFam.com:
แหล่งอ้างอิง:
E-Tipitaka (https://etipitaka.com)
วัดนาป่าพง (https://watnapp.com)
พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน เล่มเล็ก ฉบับที่ 9)
[หตุการณ์ช่วงปรินิพพาน]
-บาลี มู. ม. ๑๒/๑๖๓/๑๙๒, -บาลี มหาวาร. สํ ๑๙/๒๘๗/๙๖๓. , -บาลี มหา. ที. ๑๐/๑๔๑/๑๐๘.สารีบุตร ! มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ว่า ชั่วเวลาที่บุรุษนี้ยังเป็นหนุ่ม มีผมดำสนิท ประกอบด้วยความหนุ่มแน่น ตั้งอยู่ในปฐมวัย, ก็ยังคงประกอบด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไวอยู่เพียงนั้น, เมื่อใดบุรุษนี้แก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลนาน ผ่านวัยไปแล้ว มีอายุ ๘๐ ปี, ๙๐ ปีหรือ ๑๐๐ ปี จากการเกิด, เมื่อนั้น เขาย่อมเป็นผู้เสื่อมสิ้นจากปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไว.สารีบุตร ! ข้อนี้ เธออย่าพึงเห็นอย่างนั้น, เรานี้แล ในบัดนี้เป็นคนแก่เฒ่า เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาแล้ว วัยของเรานับได้ ๘๐ ปี, ...ฯลฯ...สารีบุตร ! ธรรมเทศนาที่แสดงไปนั้น ก็มิได้แปรปรวน บทพยัญชนะแห่งธรรมของตถาคต ก็มิได้แปรปรวน ปฏิภาณในการตอบปัญหาของตถาคต ก็มิได้แปรปรวน ...ฯลฯ...สารีบุตร ! แม้ว่าเธอทั้งหลาย จักนำเราไปด้วยเตียงน้อย (สำหรับหามคนทุพพลภาพ), ความแปรปรวนเป็นอย่างอื่นแห่งปัญญาอันเฉียบแหลมว่องไวของตถาคต ก็มิได้มี.สารีบุตร ! ถ้าผู้ใดจะพึงกล่าวให้ถูกให้ชอบว่า “สัตว์มีความไม่หลงเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นในโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่มหาชน เพื่ออนุเคราะห์โลก, เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย” ดังนี้แล้ว ผู้นั้นพึงกล่าวซึ่งเราผู้เดียวเท่านั้น.ลำดับนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วลูบคลำทั่วพระกายของพระผู้มีพระภาคอยู่ พลางกล่าวถ้อยคำนี้ ว่า :-“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้อนี้น่าอัศจรรย์; ข้อนี้ไม่เคยมีมาก่อน. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บัดนี้ ฉวีวรรณของพระผู้มีพระภาค ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนแต่ก่อน และพระกายก็เหี่ยวย่นหย่อนยาน มีพระองค์ค้อมไปข้างหน้า อินทรีย์ทั้งหลาย ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปหมด ทั้งพระจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ”.อานนท์ ! นั่น ต้องเป็นอย่างนั้น; คือ ความชรามี (ซ่อน) อยู่ในความหนุ่ม, ความเจ็บไข้มี (ซ่อน) อยู่ในความไม่มีโรค,ความตายมี (ซ่อน) อยู่ในชีวิต; ฉวีวรรณจึงไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียแล้ว และกายก็เหี่ยวย่นหย่อนยาน มีตัวค้อมไปข้างหน้า อินทรีย์ทั้งหลาย ก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปหมด ทั้งตา หู จมูก ลิ้น กาย ดังนี้.พระผู้มีพระภาค ครั้นตรัสคำนี้แล้ว ได้ตรัสข้อความนี้ (เป็นคำกาพย์กลอน) อีกว่า :-โธ่เอ๋ย ! ความแก่อันชั่วช้าเอ๋ย ! อันทำความน่าเกลียดเอ๋ย ! กายที่น่าพอใจ บัดนี้ก็ถูกความแก่ย่ำยีหมดแล้ว. แม้ใครจะมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี ทุกคนก็ยังมีความตายเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ความตายไม่ยกเว้นให้แก่ใครๆ มันย่ำยีหมดทุกคน.อานนท์ ! บัดนี้ เรามีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุสังขารแล้ว ณ ปาวาลเจดีย์นี้. (พระอานนท์ได้สติจึงทูลขอให้ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยอิทธิบาทภาวนา กัปป์หนึ่งหรือยิ่งกว่ากัปป์; ทรงปฏิเสธ)อานนท์ ! อย่าเลย, อย่าวิงวอนตถาคตเลย มิใช่เวลาจะวิงวอนตถาคตเสียแล้ว. (พระอานนท์ทูลวิงวอนอีกจนครบสามครั้ง ได้รับพระดำรัสตอบอย่างเดียวกัน, ตรัสว่าเป็นความผิดของพระอานนท์ผู้เดียว, แล้วทรงจาระไนสถานที่ ๑๖ แห่งที่เคยให้โอกาสแก่พระอานนท์ในเรื่องนี้ แต่พระอานนท์รู้ไม่ทันสักครั้งเดียว)อานนท์ ! ในที่นั้นๆ ถ้าเธอวิงวอนตถาคต ตถาคตจักห้ามเสียสองครั้ง แล้วจักรับคำในครั้งที่สาม,อานนท์ ! ตถาคตได้บอกแล้วมิใช่หรือ ว่าสัตว์จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น, สัตว์จะได้ตามปรารถนา ในสังขารนี้แต่ที่ไหนเล่า, ข้อที่สัตว์จะหวังเอาสิ่งที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว มีปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีการแตกดับเป็นธรรมดา ว่าสิ่งนี้อย่าฉิบหายเลย ดังนี้ ย่อมไม่เป็นฐานะที่มีได้ เป็นได้.สัตว์ทั้งปวง ทั้งที่เป็นคนหนุ่ม คนแก่ทั้งที่เป็นคนพาลและบัณฑิต ทั้งที่มั่งมี และ ยากจน ล้วนแต่มีความตายเป็นที่ไปถึง ในเบื้องหน้า.เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ช่างหม้อปั้นแล้วทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่สุกแล้ว และยังดิบ ล้วนแต่มีการแตกทำลายเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นเบื้องหน้าฉันนั้นวัยของเรา แก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเราริบหรี่แล้ว เราจักละพวกเธอไป สรณะของตัวเองเราได้ทำไว้แล้วภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติ มีศีลเป็นอย่างดี มีความดำริอันตั้งไว้แล้วด้วยดี ตามรักษาซึ่งจิตของตนเถิด ในธรรมวินัยนี้ ภิกษุใดเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว จักละชาติสงสาร ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.