พุทธวจน

เจริญสมาธิวันละ 3 เวลา: เคล็ดลับสู่จิตที่เจริญและกุศลธรรมงอกงาม

ผู้ปฏิบัตินั่งสมาธิสามช่วงเวลา เช้า กลางวัน เย็น

สารบัญ

สมาธิในโลกยุคเร่งรีบ

ในโลกปัจจุบันที่ผู้คนต่างมีภารกิจตลอดวัน คำถามสำคัญที่หลายคนมักตั้งคือ “จะหาเวลานั่งสมาธิในแต่ละวันได้จริงหรือ?” และยิ่งไปกว่านั้น “สมาธิวันละกี่ครั้งจึงจะพอ?”
พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบไว้อย่างชัดเจนในพระสูตรหนึ่งว่า ภิกษุผู้ปรารถนาความเจริญในธรรม ควรเจริญสมาธิอย่างน้อยวันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น เหมือนพ่อค้าในตลาดที่ทำการค้าขายอย่างไม่ประมาทในสามช่วงเวลา เพื่อให้ได้กำไรสูงสุดทั้งที่ยังไม่ได้และที่มีอยู่แล้วให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น.


พระสูตรต้นฉบับ: เปรียบเทียบการค้าขายกับการภาวนา

ภิกษุทั้งหลาย! ชาวร้านตลาดผู้มีองค์ 3 คือ

  • ทำกิจในเวลาเช้า

  • ทำกิจในเวลากลางวัน

  • ทำกิจในเวลาเย็น
    ย่อมควรแก่การได้กำไรที่ยังไม่ได้ หรือเพิ่มพูนกำไรที่มีอยู่แล้ว

ในทำนองเดียวกัน

ภิกษุผู้มีธรรม 3 คือ

  • กำหนดสมาธินิมิตโดยเอื้อเฟื้อในเวลาเช้า

  • กำหนดสมาธินิมิตโดยเอื้อเฟื้อในเวลากลางวัน

  • กำหนดสมาธินิมิตโดยเอื้อเฟื้อในเวลาเย็น
    ย่อมควรแก่การบรรลุกุศลธรรมที่ยังไม่บรรลุ หรือทำให้ที่บรรลุแล้วให้งอกงามยิ่งขึ้นไป


วิเคราะห์ความหมายจากพระสูตร

สมาธิเป็นกำไรของจิต

คำว่า “กำไร” ที่ใช้ในเปรียบเทียบ หมายถึง “กุศลธรรม” ที่ภิกษุหรือผู้ปฏิบัติบรรลุได้จากการภาวนา เช่น ความสงบ ความตั้งมั่น ความเห็นชอบ ความหลุดพ้นจากทุกข์

สมาธินิมิต คืออะไร?

ในที่นี้ “สมาธินิมิต” ไม่ใช่ภาพในสมาธิ แต่หมายถึง อารมณ์หรือเครื่องหมายของสมาธิ ที่เป็นเป้าหมายให้จิตตั้งมั่น เช่น ลมหายใจ อานาปานสติ อรูปฌาน หรือธรรมบทใดบทหนึ่งที่ใช้เป็นอารมณ์กรรมฐาน


สมาธิ 3 เวลา สร้างจิตที่มั่นคงตลอดวัน

ทำไมต้อง 3 เวลา?

  • เวลาเช้า: จิตสดใหม่ หลังตื่นนอน เหมาะสำหรับตั้งแนวทางจิตทั้งวัน

  • เวลากลางวัน: รีเซ็ตจิตระหว่างกิจกรรมโลก ลดความฟุ้งซ่าน

  • เวลาเย็น: ล้างใจจากสิ่งสะสมมาทั้งวัน เตรียมเข้าสู่ความสงบก่อนนอน

ปรับใช้กับชีวิตฆราวาส

สำหรับผู้ไม่ได้อยู่ในเพศบรรพชิต ก็สามารถปฏิบัติตามแนวนี้ได้โดย:

  • สมาธิสั้นๆ 5-10 นาที ต่อครั้ง

  • ใช้ “ลมหายใจเข้าออก” หรือพุท-โธเป็นอารมณ์

  • ไม่ต้องนั่งขัดสมาธิทุกครั้งก็ได้ — อาจใช้เวลาระหว่างรอ หรือก่อนนอน


เปรียบเทียบกับพุทธวจนบทอื่นที่สนับสนุนแนวทางนี้

  1. อานาปานสติแม้ลัดนิ้วมือ — ยังไม่เหินห่างจากฌาน (เอก.อํ. ๒๐/๕๔/๒๒๔)
    🔗 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

  2. การเจริญสมาธิอย่างสม่ำเสมอ นำไปสู่การละสังโยชน์ (มหาวาร.สํ. ๑๙/๔๒๖)
    🔗 อ่านบทความเกี่ยวกับการละกิเลส

  3. สมถะวิปัสสนาเคียงคู่ — เป็นการปฏิบัติด้วยปัญญาอันยิ่ง (อุปริ.ม. ๑๔/๕๓๙)
    🔗 อ่านบทความวิเคราะห์สมถะวิปัสสนา


สรุป

พระพุทธเจ้าทรงสอนหลัก “เจริญสมาธิวันละ 3 เวลา” เพื่อส่งเสริมให้ภิกษุและผู้ปฏิบัติธรรมมีความเจริญในกุศลธรรม เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไม่ประมาทในการค้าขาย
การฝึกฝนสมาธิอย่างสม่ำเสมอแม้เพียงช่วงสั้น ๆ ในแต่ละวัน ย่อมก่อให้เกิดความมั่นคงของจิต เป็นรากฐานให้จิตใจเจริญ งอกงาม และหลุดพ้นได้ในที่สุด


บทความอื่นที่น่าสนใจ:

แหล่งอ้างอิง:

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน)

[เจริญสมาธิให้ได้อย่างน้อยวันละ ๓ ครั้ง]

-บาลี ติก. อํ. ๒๐/๑๔๕/๔๕๘.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ชาวร้านตลาดที่ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ เป็นผู้ควรเพื่อจะได้ผลกำไรที่ยังไม่ได้ หรือเพื่อทำผลกำไรที่ได้รับอยู่แล้ว ให้งอกงามออกไป.  ๓ ประการ อย่างไรเล่า ? 
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ๓ ประการ คือ :- ชาวร้านตลาด ในกรณีนี้ ย่อมจัดย่อมทำกิจการงานอย่างดีที่สุดในเวลาเช้า; ย่อมจัดย่อมทำกิจการงานอย่างดีที่สุดในเวลากลางวัน; ย่อมจัดย่อมทำกิจการงานอย่างดีที่สุดในเวลาเย็น. 
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ชาวร้านตลาดที่ประกอบด้วยองค์ ๓ ประการเหล่านี้แล เป็นผู้ควรเพื่อจะได้ผลกำไรที่ยังไม่ได้ หรือเพื่อทำผลกำไรที่ได้รับอยู่แล้ว ให้งอกงามออกไป นี้ฉันใด.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการ เป็นผู้ควรเพื่อจะบรรลุกุศลธรรมที่ยังไม่บรรลุ หรือเพื่อทำกุศลธรรมที่บรรลุแล้ว ให้งอกงามยิ่งขึ้นไป. ๓ ประการ อย่างไรเล่า ?
 
ภิกษุทั้งหลาย !  ๓ ประการ คือ :- ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมกำหนดสมาธินิมิตโดยเอื้อเฟื้อในเวลาเช้า; ย่อมกำหนดสมาธินิมิตโดยเอื้อเฟื้อในเวลากลางวัน; ย่อมกำหนดสมาธินิมิตโดยเอื้อเฟื้อในเวลาเย็น. 
 
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุที่ประกอบด้วยธรรม ๓ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นผู้ควรเพื่อจะบรรลุกุศลธรรมที่ยังไม่บรรลุ หรือเพื่อทำกุศลธรรมที่บรรลุแล้วให้งอกงามยิ่งขึ้นไป.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *