กุศลกรรมบถ ๑๐: หนทางชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดแท้จริง
สารบัญ
Toggleหลายคนใช้เวลาและเงินไปกับการทำให้ตัวเอง “สะอาด” — อาบน้ำ ใช้น้ำหอม ซื้อเสื้อผ้าใหม่ หรือดูแลรูปลักษณ์ให้ดูดีอยู่เสมอ
แต่พระพุทธเจ้ากลับชี้ว่า ความสะอาดที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ภายนอก
สิ่งที่จะทำให้เรากลายเป็นคนสะอาดอย่างแท้จริง ไม่ว่าอยู่ในสภาพไหน คือการประพฤติใน กุศลกรรมบถ ๑๐ — หนทางแห่งความดีงามที่ชำระทั้งกาย วาจา และใจให้ผ่องใส
๑. ความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง
เว้นการฆ่าสัตว์ – ไม่ทำลายชีวิต มีเมตตา กรุณา และละอายต่อบาป
เว้นการลักทรัพย์ – ไม่เอาสิ่งที่เจ้าของไม่ได้ให้ เคารพในสิทธิของผู้อื่น
เว้นการประพฤติผิดในกาม – เคารพความสัมพันธ์ของผู้อื่น รักษาศีลธรรมในเรื่องเพศ
การชำระกาย ไม่ใช่เพียงล้างตัวด้วยน้ำ แต่คือการเว้นจากการกระทำอันหยาบช้าเหล่านี้
๒. ความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง
ไม่พูดเท็จ – กล่าวตามความจริง ไม่บิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
ไม่ส่อเสียด – ไม่ยุแยงให้คนแตกกัน แต่สร้างความสามัคคี
ไม่พูดคำหยาบ – ใช้ถ้อยคำสุภาพ เป็นที่ฟังรื่นหู
ไม่พูดเพ้อเจ้อ – พูดในเวลาสมควร มีเนื้อหาที่มีประโยชน์และเป็นจริง
วาจาที่สะอาด คือวาจาที่เป็นจริง อ่อนโยน และนำมาซึ่งสันติ
๓. ความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง
ไม่เพ่งเล็งโลภอยากได้ของผู้อื่น
ไม่พยาบาท – ปรารถนาให้ผู้อื่นอยู่เย็นเป็นสุข
เห็นถูกต้อง – เชื่อมั่นในผลของกรรม โลกหน้า และคุณของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ใจที่สะอาด คือใจที่ไร้ความโลภ โกรธ หลง และตั้งอยู่บนความเข้าใจที่ถูกต้อง
ความสะอาดแท้จริง vs. ความสะอาดลวงตา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า แม้ไม่ล้างตัว ไม่จับของบางอย่าง ไม่ทำพิธีกรรมใด ๆ หากประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ก็เป็น “ผู้สะอาด”
ในทางกลับกัน ต่อให้ทำพิธีล้างบาปภายนอกมากเพียงใด แต่ถ้าใจยังเต็มไปด้วยอกุศล ก็ยังไม่สะอาดอย่างแท้จริง
เหตุแห่งความสุขและสุคติ
กุศลกรรมบถ ๑๐ เป็นปัจจัยให้เกิดความผ่องใส นำไปสู่สุคติทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
ตรงข้าม หากประกอบด้วย อกุศลกรรมบถ ๑๐ จะนำสู่ความเศร้าหมองและทุคติ
ข้อคิดสำหรับชีวิตประจำวัน
เริ่มจากการสังเกตว่า วันนี้เราได้ทำกาย วาจา ใจ ให้สะอาดหรือยัง
ลองตั้งใจเลือกคำพูดที่สร้างสรรค์มากขึ้น และเว้นจากการตำหนิผู้อื่นโดยไม่จำเป็น
ฝึกใจให้ปล่อยวางความโลภ และมองผู้อื่นด้วยความเมตตา
ความสะอาดที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็นด้วยตา แต่จะสัมผัสได้ด้วยใจ
พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน)
[กุศลกรรมบถ ๑๐ ]
-บาลี ทสก. อํ. ๒๔/๒๘๓/๑๖๕.จุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่าง ความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง ความสะอาดทางใจมี ๓ อย่างจุนทะ ! ความสะอาดทางกายมี ๓ อย่างนั้นเป็นอย่างไรเล่า ?(๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง เว้นขาดจากปาณาติบาต วางท่อนไม้ วางศัสตรา มีความละอาย ถึงความเอ็นดูกรุณาเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายอยู่.(๒) ละการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ไม่ถือเอาทรัพย์และอุปกรณ์แห่งทรัพย์อันเจ้าของไม่ได้ให้ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี ด้วยอาการแห่งขโมย.(๓) ละการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม, (คือเว้นจากการประพฤติผิด) ในหญิงซึ่งมารดารักษา บิดารักษา พี่น้องชาย พี่น้องหญิง หรือญาติรักษา อันธรรมรักษา เป็นหญิงมีสามี หญิงอยู่ในสินไหม โดยที่สุดแม้หญิงอันเขาหมั้นไว้ (ด้วยการคล้องมาลัย) ไม่เป็นผู้ประพฤติผิดจารีตในรูปแบบเหล่านั้น.จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางกาย ๓ อย่าง.จุนทะ ! ความสะอาดทางวาจา มี ๔ อย่าง นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?(๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท ไปสู่สภาก็ดี ไปสู่บริษัทก็ดี ไปสู่ท่ามกลางหมู่ญาติก็ดี ไปสู่ท่ามกลางศาลาประชาคมก็ดี ไปสู่ท่ามกลางราชสกุลก็ดี อันเขานำไปเป็นพยาน ถามว่า “บุรุษผู้เจริญ ! ท่านรู้อย่างไร ท่านจงกล่าวไปอย่างนั้น” ดังนี้, บุรุษนั้น เมื่อไม่รู้ก็กล่าวว่าไม่รู้ เมื่อรู้ก็กล่าวว่ารู้ เมื่อไม่เห็นก็กล่าวว่าไม่เห็น เมื่อเห็นก็กล่าวว่าเห็น, เพราะเหตุตนเอง เพราะเหตุผู้อื่น หรือเพราะเหตุเห็นแก่อามิสไรๆ ก็ไม่เป็น ผู้กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่.(๒) ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากการส่อเสียด ได้ฟังจากฝ่ายนี้แล้วไม่เก็บไปบอกฝ่ายโน้น เพื่อแตกจากฝ่ายนี้ หรือได้ฟังจากฝ่ายโน้นแล้วไม่เก็บมาบอกแก่ฝ่ายนี้เพื่อแตกจากฝ่ายโน้น แต่จะสมานคนที่แตกกันแล้วให้กลับพร้อมเพรียงกัน อุดหนุนคนที่พร้อมเพรียงกันอยู่ ให้พร้อมเพรียงกันยิ่งขึ้น เป็นคนชอบในการพร้อมเพรียง เป็นคนยินดีในการพร้อมเพรียง เป็นคนพอใจในการพร้อมเพรียง กล่าวแต่วาจาที่ทำให้พร้อมเพรียงกัน.(๓) ละการกล่าวคำหยาบเสีย เว้นขาดจากการกล่าวคำหยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ เสนาะโสต ให้เกิดความรัก เป็นคำฟูใจ เป็นคำสุภาพที่ชาวเมืองเขาพูดกัน เป็นที่ใคร่ที่พอใจของมหาชน กล่าวแต่วาจาเช่นนั้นอยู่.(๔) ละคำพูดเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำพูดเพ้อเจ้อ กล่าวแต่ในเวลาอันสมควร กล่าวแต่คำจริง เป็นประโยชน์ เป็นธรรม เป็นวินัย กล่าวแต่วาจามีที่ตั้ง มีหลักฐานที่อ้างอิง มีเวลาจบ ประกอบด้วยประโยชน์ สมควรแก่เวลา.จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางวาจา ๔ อย่าง.จุนทะ ! ความสะอาดทางใจ มี ๓ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ?(๑) บุคคลบางคนในกรณีนี้ เป็นผู้ไม่มากด้วยอภิชฌา คือเป็นผู้ไม่โลภ เพ่งเล็งวัตถุอุปกรณ์แห่งทรัพย์ของผู้อื่น ว่า “สิ่งใดเป็นของผู้อื่น สิ่งนั้นจงเป็นของเรา” ดังนี้.(๒) เป็นผู้ไม่มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจอันไม่ประทุษร้ายว่า “สัตว์ทั้งหลาย จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์ มีสุข บริหารตนอยู่เถิด” ดังนี้ เป็นต้น.(๓) เป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง มีทัสสนะไม่วิปริต ว่า “ทานที่ให้แล้ว มี (ผล), ยัญที่บูชาแล้ว มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้ว มี (ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว มี, โลกอื่น มี, มารดา มี, บิดา มี, โอปปาติกสัตว์ มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี” ดังนี้.จุนทะ ! อย่างนี้แล เป็นความสะอาดทางใจ ๓ อย่าง.จุนทะ ! เหล่านี้แล เรียกว่า กุศลกรรมบถ ๑๐.จุนทะ ! บุคคลประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหล่านี้ ลุกจากที่นอนตามเวลาแห่งตนแล้ว แม้จะลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ลูบแผ่นดิน ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่จับโคมัยสด ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะจับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่จับหญ้าเขียว ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะบำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่บำเรอไฟ ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด, แม้จะไม่ไหว้พระอาทิตย์ ก็เป็นคนสะอาด; แม้จะลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สามก็เป็นคนสะอาด แม้จะไม่ลงน้ำในเวลาเย็นเป็นครั้งที่สาม ก็เป็นคนสะอาด.ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? จุนทะ ! เพราะเหตุว่า กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการเหล่านี้ เป็นตัวความสะอาด และเป็นเครื่องกระทำความสะอาด.จุนทะ ! อนึ่ง เพราะมีการประกอบด้วยกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการเหล่านี้ เป็นเหตุ พวกเทพจึงปรากฏ หรือว่าสุคติใดๆ แม้อื่นอีก ย่อมมี.