พุทธวจน

หายนะสังคมจากความไร้ธรรมะ: คำพยากรณ์พระพุทธเจ้าที่กำลังเกิดขึ้น

หายนะสังคมจากความไร้ธรรมะ: วิเคราะห์คำพยากรณ์พระพุทธเจ้าที่กำลังเกิดขึ้น

สารบัญ

ในทุกยุคสมัย เมื่อคุณธรรมและธรรมะเริ่มเลือนหาย สังคมย่อมเผชิญปัญหาที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ — อาชญากรรมเพิ่มขึ้น ความเห็นแก่ตัวครอบงำ ความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื่อมสลาย หลายคนอาจคิดว่านี่เป็นเพียงผลของยุคสมัย แต่ในความเป็นจริง พระพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้แล้วอย่างละเอียด ว่าเมื่อ “ความไม่มีธรรมะ” แผ่ขยาย ผลลัพธ์จะเกิดขึ้นเป็นลูกโซ่อย่างไร จนกระทั่งมนุษย์ตกต่ำถึงขีดสุด

บทความนี้จะพาคุณวิเคราะห์ทีละขั้น ว่าทำไมการขาดธรรมะจึงทำให้มนุษย์เสื่อมจากภายในสู่ภายนอก และทางออกคืออะไร เพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งทั้งในระดับปัจเจกและสังคม


วิเคราะห์ใจความหลักจากพระสูตร

พระพุทธองค์ตรัสถึง “ผลจากความไม่มีธรรมะของมนุษย์” ไว้อย่างชัดเจน โดยเริ่มจากปัจจัยเล็ก ๆ แต่ส่งผลเป็นลูกโซ่ขยายไปทั้งสังคม

1. จุดเริ่มต้น: การปกครองที่ขาดธรรมะ

พระสูตรกล่าวว่า เมื่อผู้ปกครองทำเพียง “คุ้มครองอารักขา” แต่ไม่ช่วยสร้างปัจจัยให้ราษฎร์มีทรัพย์และอยู่ดีกินดี ความยากจนขัดสนก็จะเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง เมื่อความขาดแคลนรุนแรงขึ้น อทินนาทาน (การลักขโมย) ก็แพร่หลาย

นี่ชี้ให้เห็นว่า ความไม่สมดุลระหว่าง “การป้องกัน” และ “การสร้างโอกาส” เป็นจุดเริ่มของความเสื่อม


2. ลูกโซ่ของความเสื่อมทางศีลธรรม

จากอทินนาทาน นำไปสู่การใช้ความรุนแรง (ศัสตราวุธ) → ปาณาติบาต (ฆ่ามนุษย์) → มุสาวาท (โกหกหลอกลวง) → ปิสุณาวาท (ยุแหย่แตกสามัคคี) → กาเมสุมิจฉาจาร (ผิดในกาม) → ผรุสวาท-สัมผัปปลาปวาท (คำหยาบและเพ้อเจ้อ) → อภิชฌา-พยาบาท (ละโมบและมุ่งร้าย) → มิจฉาทิฏฐิ (เห็นผิดว่าชั่วเป็นดี)

พระสูตรชี้ว่า เมื่ออกุศลเหล่านี้ครอบงำ อายุขัยมนุษย์ก็จะค่อย ๆ ลดลงจากหมื่นปี เหลือพันปี และในที่สุดเหลือเพียง 10 ปี


3. จุดตกต่ำที่สุดของมนุษย์

ในสมัยอายุขัย 10 ปี คุณธรรมทุกประเภทหายไป ไม่มีคำว่า “กุศล” ในหมู่มนุษย์ ความสัมพันธ์ในครอบครัวพังทลาย การอยู่ร่วมกันไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน และเต็มไปด้วยความอาฆาตแม้ในสายเลือดเดียวกัน

จุดนี้เองจะนำไปสู่ สัตถันตรกัปป์ — การฆ่าฟันต่อเนื่อง 7 วันทั่วโลก เหมือนทุกคนเป็นศัตรูกันหมด


4. วงจรฟื้นฟู

อย่างไรก็ตาม พระสูตรก็กล่าวถึง “ความหวัง” ว่า หลังจากการล่มสลาย จะมีผู้รอดชีวิตที่หันมาปฏิบัติธรรมร่วมกัน จนสังคมฟื้นตัว อายุขัยค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จนถึงยุคแห่งพระศาสนาของพระเมตเตยยสัมมาสัมพุทธะ


ข้อคิดเชิงปฏิบัติ

  1. เริ่มจากตนเอง – การรักษาศีล 5 เป็นเกราะป้องกันการตกสู่กระแสแห่งความเสื่อม

  2. สังคมต้องมีผู้นำที่ประกอบด้วยธรรม – เน้นทั้งการป้องกันและสร้างโอกาสให้ประชาชน

  3. เข้าใจวงจรความเสื่อม – เพื่อรู้ทันสัญญาณเตือนในสังคมปัจจุบัน

  4. ใช้วิกฤตเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง – เหมือนผู้รอดจากสัตถันตรกัปป์ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม

พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน)

[ผลจากความไม่มีธรรมะของมนุษย์ (อย่างหนัก)]

-บาลี ปา. ที. ๑๑/๗๐/๓๙.
 
ภิกษุทั้งหลาย !  เมื่อพระราชา มีการกระทำชนิดที่เป็นไปแต่เพียงเพื่อการคุ้มครองอารักขา, แต่มิได้เป็นไปเพื่อการกระทำให้เกิดทรัพย์ แก่บุคคลผู้ไม่มีทรัพย์ทั้งหลาย ดังนั้นแล้ว ความยากจนขัดสน ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
 
เพราะความยากจนขัดสนเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด อทินนาทาน (ลักทรัพย์) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
เพราะอทินนาทานเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด การใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่างๆ ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
เพราะการใช้ศัสตราวุธโดยวิธีการต่างๆ เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ปาณาติบาต (ซึ่งหมายถึงการฆ่ามนุษย์ด้วยกัน) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด;
 
เพราะปาณาติบาตเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มุสาวาท (การหลอกลวงคดโกง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด; (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาจาก ๘ หมื่นปี เหลือเพียง ๔ หมื่นปี)
 
เพราะมุสาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ปิสุณาวาท (การพูดจายุแหย่เพื่อการแตกกันเป็นก๊ก เป็นหมู่ ทำลายความสามัคคี) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด; (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒ หมื่นปี)
 
เพราะปิสุณาวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด กาเมสุมิจฉาจาร (การทำชู้ การละเมิดของรักของบุคคลอื่น) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด; (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑ หมื่นปี)
 
เพราะกาเมสุมิจฉาจารเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด ผรุสวาท และ สัมผัปปลาปวาท (การใช้คำหยาบ และคำพูดเพ้อเจ้อเพื่อความสำราญ) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด; (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕ พันปี)
 
เพราะผรุสวาทและสัมผัปปลาปวาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด อภิชฌาและพยาบาท (แผนการกอบโกย และการทำลายล้าง) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด; (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒,๕๐๐-๒,๐๐๐ ปี)
 
เพราะอภิชฌาและพยาบาทเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิดชนิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว นิยมความชั่ว) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด; (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๑,๐๐๐ ปี)
 
เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อกุศล) ธรรมทั้งสาม คือ อธัมมราคะ (ความยินดีที่ไม่เป็นธรรม) วิสมโลภะ (ความโลภไม่สิ้นสุด) มิจฉาธรรม (การประพฤติตามอำนาจกิเลส) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อย่างไม่แยกกัน); (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๕๐๐ ปี)
 
เพราะ (อกุศล) ธรรม ทั้งสาม ... นั้นเป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด (อกุศล) ธรรมทั้งหลาย คือ 
 
ไม่ปฏิบัติอย่างถูกต้องในมารดา, บิดา, สมณพราหมณ์ ไม่มีกุลเชฏฐาปจายนธรรม (ความอ่อนน้อมตามฐานะสูงต่ำ) ก็เป็นไปอย่างกว้างขวางแรงกล้าถึงที่สุด. (ในสมัยนี้ มนุษย์มีอายุขัยถอยลงมาเหลือเพียง ๒๕๐-๒๐๐-๑๐๐ ปี)
 
สมัยนั้น จักมีสมัยที่มนุษย์มีอายุขัยลดลงมาเหลือเพียง ๑๐ ปี (จักมีลักษณะแห่งความเสื่อมเสียมีประการต่างๆ ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า) : หญิงอายุ ๕ ปี ก็มีบุตร; รสทั้งห้า คือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และรสเค็ม ก็ไม่ปรากฏ; มนุษย์ทั้งหลาย กินหญ้าที่เรียกว่า กุท๎รูสกะ (ซึ่งนิยมแปลกันว่าหญ้ากับแก้) แทนการกินข้าว; กุศลกรรมบถหายไป ไม่มีร่องรอย, อกุศลกรรมบถ รุ่งเรืองถึงที่สุด; ในหมู่มนุษย์ ไม่มีคำพูดว่ากุศล จึงไม่มีการทำกุศล;
 
มนุษย์สมัยนั้น จักไม่ยกย่องสรรเสริญ ความเคารพเกื้อกูลต่อมารดา (มัตเตยยธรรม), ความเคารพเกื้อกูลต่อบิดา (เปตเตยยธรรม), ความเคารพเกื้อกูลต่อสมณะ (สามัญญธรรม), ความเคารพเกื้อกูลต่อพราหมณ์ (พรหมัญญธรรม), และกุลเชฏฐาปจายนธรรม, เหมือนอย่างที่มนุษย์ยกย่องกันอยู่ในสมัยนี้;
 
ไม่มีคำพูดว่า แม่ น้าชาย น้าหญิง พ่อ อา ลุง ป้า ภรรยาของอาจารย์ และคำพูดว่า เมียของครู; สัตว์โลกจักกระทำการสัมเภท (สมสู่สำส่อน) เช่นเดียวกันกับแพะ แกะ ไก่ สุกร สุนัข สุนัขจิ้งจอก; ความอาฆาต ความพยาบาท ความคิดร้าย ความคิดฆ่า เป็นไปอย่างแรงกล้า แม้ในระหว่างมารดากับบุตร บุตรกับมารดา บิดากับบุตร บุตรกับบิดา พี่กับน้อง น้องกับพี่ ทั้งชายและหญิง เหมือนกับที่นายพรานมีความรู้สึกต่อเนื้อทั้งหลาย.
 
ในสมัยนั้น จักมี สัตถันตรกัปป์ (การใช้ศัสตราวุธติดต่อกันไม่หยุดหย่อน) ตลอดเวลา ๗ วัน : สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จักมีความสำคัญแก่กันและกัน ราวกะว่าเนื้อ; แต่ละคนมีศัสตราวุธในมือ ปลงชีวิตซึ่งกันและกันราวกะว่า ฆ่าปลา ฆ่าเนื้อ.
 
(มีมนุษย์หลายคน ไม่เข้าร่วมวงสัตถันตรกัปป์ด้วยความกลัว หนีไปซ่อนตัวอยู่ในที่ที่พอจะซ่อนตัวได้ตลอด ๗ วัน แล้วกลับออกมาพบกันและกัน ยินดีสวมกอดกัน กล่าวแก่กันและกันในที่นั้นว่า มีโชคดีที่รอดมาได้ แล้วก็ตกลงกันในการตั้งต้นประพฤติธรรมกันใหม่ต่อไป ชีวิตมนุษย์ก็ค่อยเจริญขึ้น จาก ๑๐ ปี ตามลำดับๆ จนถึงสมัย ๘ หมื่นปี อีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งเป็นสมัย แห่งศาสนาของพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า เมตเตยยสัมมาสัมพุทธะ).

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *