ทำไมความขัดแย้งไม่เคยหมดไป: รากเหง้าแห่งการเบียดเบียนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
สารบัญ
Toggleเคยสงสัยไหมว่า...ทั้งๆ ที่เราทุกคนอยากอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข แต่เหตุใดความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง และความร้าวฉานในครอบครัว ชุมชน หรือแม้แต่ระดับประเทศจึงยังคงเกิดขึ้นไม่จบสิ้น? แม้ต่างฝ่ายจะปรารถนาความสามัคคี แต่ทำไมถึงไม่สามารถรักษามันไว้ได้? คำตอบลึกซึ้งของคำถามเหล่านี้มีอยู่ในพระพุทธวจนะ ที่ชี้ให้เห็นถึงรากเหง้าของปัญหาอันแท้จริง ไม่ใช่เพียงพฤติกรรมภายนอก หากแต่เป็นโซ่พันธนาการในจิตใจมนุษย์...
เหตุของการเบียดเบียน: จุดเริ่มต้นของความแตกแยก
พระสูตรจากพระไตรปิฎกบทหนึ่ง พระอินทร์ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เหตุใดหมู่ชนทั้งหลายไม่สามารถอยู่ร่วมกันโดยไม่มีเวร ไม่มีข้าศึก ไม่มีการเบียดเบียนได้ ทั้งที่ต่างก็ปรารถนาเช่นนั้น คำตอบจากพระพุทธเจ้าชัดเจนว่า:
"จอมเทพ ! ความอิจฉา (อิสสา) และความตระหนี่ (มัจฉริยะ) นั่นแล เป็นเครื่องผูกพัน..."
ความอิจฉาคือการไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี ความตระหนี่คือความหวงแหน ไม่แบ่งปัน ทั้งสองอย่างนี้แม้ดูเหมือนเล็กน้อย แต่กลับเป็นชนวนให้เกิดความแตกแยก เบียดเบียน และความทุกข์ในหมู่ชน
การวิเคราะห์ตามลำดับเหตุ: จากภายนอกสู่ภายใน
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมโดยลำดับเหตุอย่างลึกซึ้ง ไล่เรียงจากความอิจฉา-ตระหนี่ ไปสู่ต้นตอภายในจิตใจ:
ความอิจฉาและความตระหนี่ เกิดจากสิ่งอันเป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก (ปิยาปิย)
สิ่งที่รัก-ไม่รัก เกิดจาก ฉันทะ คือความพอใจ
ในทางตรงกันข้าม หากไม่มีฉันทะ ก็จะไม่มีสิ่งที่รักหรือไม่รัก และย่อมไม่มีความอิจฉาหรือความตระหนี่ นี่คือหลักแห่ง ปฏิจจสมุปบาท ที่แสดงให้เห็นว่าเหตุแห่งความแตกแยกในหมู่มนุษย์ เริ่มจากความยึดติดที่ละเอียดที่สุดในใจ
การดับเหตุแห่งความแตกแยก: เส้นทางแห่งความสามัคคี
การรู้เหตุ ทำให้สามารถละเหตุได้ หากเรารู้ว่าความอิจฉาและตระหนี่เป็นต้นเหตุของความแตกแยก และรู้ว่ามันเกิดจากความพอใจหรือฉันทะในสิ่งที่เป็นที่รักและไม่เป็นที่รัก ก็แปลว่า...การดับฉันทะ (ความยึดติด) คือทางสู่ความไม่มีเวร ไม่มีข้าศึก
หนทางนี้ คือ อริยมรรคมีองค์แปด โดยเฉพาะ สัมมาสติ และ สัมมาสมาธิ ที่ทำให้เห็นความยึดติดในใจ และนำไปสู่การปล่อยวาง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสามัคคีอันแท้จริง ไม่ใช่ความสามัคคีที่ต้องพยายามปรุงแต่งด้วยคำขวัญ หากแต่เป็นความปรองดองที่เกิดจากใจที่ไม่มีสิ่งผูกมัด
สรุป: ความสามัคคีเริ่มต้นจากจิตที่ไม่ยึดติด
เราจะไม่สามารถสร้างสันติภาพที่แท้จริงในโลกได้ ถ้ายังมีสงครามภายในใจของเราเอง การรู้เท่าทันความอิจฉา ความตระหนี่ และฉันทะในสิ่งที่รักและไม่รัก เป็นก้าวแรกของการเข้าใจตนเอง และการดับทุกข์ร่วมกันในหมู่ชน ความสามัคคีจึงมิใช่เพียงการอยู่ร่วมกันโดยปราศจากความขัดแย้งเท่านั้น แต่คือการปล่อยวางจากความยึดมั่นภายในใจที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งทั้งปวง
พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน)
[เหตุแห่งการเบียดเบียน]
-บาลี มหา. ที. ๑๐/๓๑๐/๒๕๕.“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ! อะไรเป็นเครื่องผูกพันเทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ทั้งหลาย อันมีอยู่เป็นหมู่ๆ (ซึ่งแต่ละหมู่) ปรารถนาอยู่ว่า เราจักเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีข้าศึก ไม่มีการเบียดเบียนแก่กันและกัน แต่แล้วก็ไม่สามารถจักเป็นผู้อยู่อย่างผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีข้าศึก ไม่มีเบียดเบียนแก่กันและกันเล่า พระเจ้าข้า ?”.จอมเทพ ! ความอิจฉา (อิสสา) และความตระหนี่ (มัจฉริยะ) นั่นแล เป็นเครื่องผูกพันเทวดา มนุษย์ อสูร นาค คนธรรพ์ทั้งหลาย อันมีอยู่เป็นหมู่ๆ (ซึ่งแต่ละหมู่) ปรารถนาอยู่ว่า เราจักเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีข้าศึก ไม่มีการเบียดเบียนแก่กันและกัน แต่แล้วก็ไม่สามารถจักเป็นผู้อยู่อย่างผู้ไม่มีเวร ไม่มีอาชญา ไม่มีข้าศึก ไม่มีการเบียดเบียนแก่กันและกันได้.“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ! ก็ความอิจฉาและความตระหนี่นั้น มีอะไรเป็นต้นเหตุ (นิทาน) มีอะไรเป็นเครื่องก่อขึ้น (สมุทัย) มีอะไรเป็นเครื่องทำให้เกิด (ชาติกะ) มีอะไรเป็นแดนเกิด (ปภวะ) ? เมื่ออะไรมีอยู่ ความอิจฉาและความตระหนี่จึงมี ? เมื่ออะไรไม่มีอยู่ ความอิจฉาและความตระหนี่จึงไม่มี พระเจ้าข้า ?”.จอมเทพ ! ความอิจฉาและความตระหนี่นั้น มีสิ่งอันเป็นที่รักและสิ่งอันไม่เป็นที่รัก (ปิยาปฺปิย) นั่นแล เป็นต้นเหตุ ...ฯลฯ... เมื่อสิ่งเป็นที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รักไม่มีอยู่ ความอิจฉาและความตระหนี่ก็ไม่มี.“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ! ก็สิ่งเป็นที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รักนั้นเล่า มีอะไรเป็นต้นเหตุ ...ฯลฯ... ? เมื่ออะไรมีอยู่ สิ่งเป็นที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รักจึงมี ? เมื่ออะไรไม่มีอยู่ สิ่งเป็นที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รักจึงไม่มี พระเจ้าข้า ?”.จอมเทพ ! สิ่งเป็นที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รักนั้น มีฉันทะ (ความพอใจ) เป็นต้นเหตุ ...ฯลฯ... เมื่อฉันทะ ไม่มีอยู่ สิ่งเป็นที่รักและสิ่งไม่เป็นที่รักก็ไม่มี...