ความอัศจรรย์ที่แท้จริงของตถาคต: มองเวทนา สัญญา และวิตกผ่านปฏิจจสมุปบาท
สารบัญ
Toggleในพระสูตรหนึ่งแห่งมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกล่าวกับพระอานนท์ถึงสิ่งที่เป็น "อัศจรรย์" อย่างยิ่งในพระตถาคตว่า:
เวทนา เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคต แล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึงดับไป
สัญญา เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคต แล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึงดับไป
วิตก เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคต แล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึงดับไป
นี่คือสิ่งที่ตถาคตกล่าวว่า "อัศจรรย์ไม่เคยมีมาแต่ก่อน" และทรงกำชับพระอานนท์ให้จำไว้ นั่นหมายความว่า การรู้ชัดในกระบวนการของสภาวธรรมสามอย่างนี้ตั้งแต่ก่อนเกิด ระหว่างตั้งอยู่ จนถึงดับไป ถือเป็นคุณสมบัติพิเศษที่แสดงถึงความรู้แจ้งอันสมบูรณ์ของพระพุทธเจ้า
ความอัศจรรย์ในสายตาปุถุชน vs สายตาพุทธะ
สำหรับปุถุชนทั่วไป เมื่อกล่าวถึงความอัศจรรย์ มักหมายถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น การแสดงฤทธิ์ ล่องหน ดำดิน เหาะเหิน หรือการรู้อนาคต สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงนิมิตที่น่าตื่นตา แต่ยังไม่ใช่สาระของธรรม
แต่สำหรับตถาคต ความอัศจรรย์กลับเป็นเรื่องธรรมดาที่ลึกซึ้ง: การรู้ชัดถึงกระบวนการเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปของเวทนา สัญญา และวิตก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ห้าอันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของสังสารวัฏ
เวทนา สัญญา วิตก ในบริบทของปฏิจจสมุปบาท
เวทนา สัญญา และวิตก เป็นองค์ประกอบของนามรูป ซึ่งอยู่ในกระบวนการปฏิจจสมุปบาทว่า:
วิญญาณปัจจัย นามรูป
นั่นคือ เมื่อมีวิญญาณ จึงเกิดนามรูป ซึ่งประกอบด้วยเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ
และเมื่อมีนามรูป จึงมีสฬายตนะ (อายตนะหก) และลำดับเหตุปัจจัยก็จะไหลต่อไปจนถึงชาติ ชรา มรณะ
การที่ตถาคตรู้แจ้งเวทนา สัญญา วิตกได้อย่างแจ่มแจ้ง หมายความว่าพระองค์ทรงเห็นกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาทอย่างทะลุปรุโปร่ง ทรงรู้ถึงเหตุปัจจัยและความดับของทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง
อานิสงส์แห่งการพิจารณาไตรลักษณ์ในสภาวธรรม
เมื่อพิจารณาเวทนา สัญญา วิตก โดยเห็นว่า:
- เป็นของไม่เที่ยง (อนิจจัง)
- เป็นของทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ (ทุกขัง)
- ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของเรา (อนัตตา)
จะทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งในขันธ์ห้า ว่าเป็นเพียงกระแสของเหตุปัจจัย มิใช่สิ่งที่ควรยึดมั่นถือมั่น
พระพุทธเจ้าไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่เห็นความจริงเช่นนั้นด้วยปัญญา แต่ทรงทำให้ความรู้แจ้งนั้นเป็นประสบการณ์ตรงอย่างต่อเนื่อง เป็นการรู้ชัดอยู่ตลอดเวลาทุกขณะจิต
นี่เองคือความอัศจรรย์ที่แท้จริง มิใช่ความแปลกใหม่ในทางโลก แต่เป็นการรู้ธรรมตามความเป็นจริงด้วยใจที่เป็นอิสระจากตัณหาและอุปาทาน
สรุป
ความอัศจรรย์ที่ตถาคตตรัสไว้ มิได้อยู่ที่อำนาจฤทธิ์ หรือการแสดงอภินิหาร หากแต่อยู่ที่การรู้ชัดในกระบวนการของเวทนา สัญญา วิตก ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ด้วยปัญญาอันถึงพร้อม นี่คือสิ่งที่เป็นต้นทางแห่งการสิ้นไปแห่งทุกข์ และเป็นหัวใจของพุทธศาสนา
พระสูตรต้นฉบับ (พุทธวจน):
[สิ่งที่พระศาสดาถือว่าเป็นความอัศจรรย์]
-บาลี อุปริ. ม. ๑๔/๒๕๔/๓๗๙.อานนท์ ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอพึงจำ สิ่งอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาแต่ก่อนของตถาคตข้อนี้ไว้.อานนท์ ! ในกรณีนี้คือ :-เวทนา เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคต แล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึงดับไปสัญญา เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคต แล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึงดับไปวิตก เป็นของแจ่มแจ้งแก่ตถาคต แล้วจึงเกิดขึ้น แล้วจึงตั้งอยู่ แล้วจึงดับไปอานนท์ ! เธอจงทรงจำสิ่งอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมีมาแต่ก่อนของตถาคตข้อนี้แล.